เรื่อง+ภาพ : eyejung
จากดอยตาปังตอนที่แล้ว ตอนนี้เราจะพาทุกคนไปร่วมติดเกาะสวรรค์ของนักถ่ายดาว กันที่เกาะพระทองจังหวัดพังงา อีกหนึ่งเกาะที่ถูกยกให้เป็น UNSEEN ของจังหวัดพังงา ถ้าใครติดตามจะรู้ว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เราพาไปเกาะพระทอง ที่นี่มีดีอะไรทำไมเราไปปล่อยแบบไม่มีเบื่อ ถ้าใครชอบแหล่งท่องเที่ยวที่สงบหลีกหนีความวุ่นวาย “เกาะพระทอง” คือคำตอบของคุณ ถ้าชอบท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ เรียนรู้วิถีชุมชน เพราะที่เกาะพระทองมีความสงบ เราจะไม่ได้เห็นภาพนักท่องเที่ยวคึกคัก ถ้ามีนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะเป็นชาวต่างชาติแทบจะ ไม่เห็นคนไทยแม้แต่น้อย คือคนที่มาเที่ยวเกาะนี้ ต้องมีความชื่นชอบธรรมชาติแบบจริงๆ สามารถอยู่กับสิ่งที่ไม่สะดวกสบายได้ เพราะบรรยากาศบนเกาะเป็นอะไรที่เรียกว่ายังดิบและดั้งเดิมมาก แทบไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกใดๆ
ส่วนการเดินทางไปเกาะพระทอง ทำได้หลายวิธี ใครมีงบมากหน่อยก็มาเครื่องบิน ที่มีสองสายการบินให้เลือก คือนกแอร์ สายการบินดังเดิม และอีกหนึ่งสายการบินคือแอร์เอเซีย ลงจังหวัดระนอง เป็นจะที่ใกล้สุดที่จะเดินทางไปคุระบุรี แล้วต้องเหมารถต่อมาลงท่าเรือคุระบุรี หรือจะเลือกเดินทางด้วยรถทัวร์ก็จองเส้นทาง กรุงเทพ–คุระบุรี จ.พังงา ลงตรงขนส่งคุระบุรี แล้วต่อรถมอร์ไซด์รับจ้างมาลงตรงท่าเรือคุระบุรี แต่เราเลือกเดินทางโดยรถส่วนตัวซึ่งสะดวกสุด จริงท่าเรือที่เราสามารถข้ามไปเกาะพระทองจะมีอยู่ 2 ท่าเรือด้วยกัน ท่าเรือแรก คือท่าเรือบังแดด ท่าเรือนี้ต้องดูเวลาน้ำขึ้น ส่วนท่าที่สามารถเดินทางได้ทั้งวันคือท่าเรือคุระบุรี วันนี้เราเลือกท่าเรือคุระบุรี โดยการเหมาเรือ ซึ่งถ้าเหมาจากท่าเรือคุระบุรี ราคาจะค่อนข้างแพงกว่าท่าเรือบังแดด เพราะระยะทางค่อนข้างไกลกว่า วันนี้เราใช้เวลาเกือบ 2 ชม. ในการนั่งเรือข้ามไปเกาะพระทอง เพราะน้ำลด เลยต้องขับเรืออ้อมสันทราย
เรายังคงเลือกที่พักที่รักษ์กันรีสอร์ทเหมือนเดิม ถ้าใครอยากมาถ่ายภาพแนะนำติดต่อมาที่โกแดง เจ้าของรักษ์กันรีสอร์ทได้เลย พาเที่ยวทั่วเกาะ แนะนำจุดถ่ายภาพให้แบบจุใจ วันแรกของการข้ามมาเกาะพระทอง กะว่าจะถ่ายภาพชิลๆ นั่งโง่ๆ ดูทะเลหน้าที่พักเราเนี่ยแหละ กับหาดสุดขอบฟ้า ที่มาของชื่อทริปสุดขอบฟ้าทะเลดาวของเรานั่นเอง โกแดงใจดีปั่นไฟให้เราใช้ก่อนเวลา ต้องบอกก่อนว่าที่นี่ระบบไฟฟ้ายังเข้าไม่ถึง ยังต้องเป็นระบบปั่นไฟอยู่ ที่นี่จึงเป็นสวรรค์ของคนที่ชอบถ่ายภาพดาว เพราะไม่มีแสงรบกวนนั่นเอง อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมไปเดินเล่นหน้าหาดโกแดง ก็มานำเสนอว่าไปดูพระอาทิตย์ตกที่บริเวณอ่าวตาแดง ติดกับหาดสุดขอบฟ้า จุดชมวิวพระอาทิตย์ตกสวยที่สุดประจำเกาะ ตรงบริเวณหน้าที่พัก Moken Eco Village กระท่อมมอร์แกน” แห่งเกาะพระทอง” แต่ราคาไม่มอร์แกนนะ 555……แต่ถ้าเทียบแล้วถือว่าถูกกว่าแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ ของภาคใต้ ที่พักน่ารัก ถึงเราจะไมได้พักที่นี่ แต่ก็มาถ่ายภาพหน้าหาดได้ แล้วสั่งน้ำกิน มานั่งดูพระอาทิตย์ลูกโตๆ ตกทะเล เกือบจะฟินอยู่แล้วเชี่ยว แต่ไม่ฟินตรงที่เกาะพระทองมีตัวริ้นเยอะมากและกัดเจ็บ ใครแพ้กลับมาได้ผื่นแดงเต็มตัวแน่ ใครจะไปเที่ยววางแผนป้องกันตัวริ้น และเตรียมยาไปเผื่อด้วย
จากอ่าวตาแดง หรืออีกชื่อคือ “อ่าวตาฉุย” เพราะเรียกชื่อตามรีสอร์ท “ทับตาฉุย” ที่ตั้งอยู่หลังแนวหาดนี้ ก็แล้วแต่ชาวบ้านเรียขานกัน เราก็เดินเลาะชายหาดมาเรื่อยๆ เพื่อกลับเข้าที่พักหาดสุดขอบฟ้า ระหว่างทางเดินกลับ เราจะได้เห็น ปูตัวเล็กตัวน้อยที่ขึ้นมาจากรูมาโตคลื่น ดูเป็นอะไรที่สนุกสนานมาก ธรรมชาติสร้างสรรค์ความสวยงามมาให้อย่างแท้จริง ค่ำเราเลือกทานอาหารจานเดียวกันแล้วคืนนี้เราจะเริ่มออกล่าทางช้างเผือก เชือกแรกของปีที่น้าหาดสุดขอบฟ้า และหน้าท่าเรือแป๊ะโย้ย
นัดหมายเจอกันหน้าบ้านพัก การถ่ายภาพทางช้างเผือกที่ปลอดภัย ควรนัดกันออกไปพร้อมกันเป็นกลุ่มๆ เพราะเวลาถ่ายภาพส่วนใหญ่จะดึกมาก และต้องมืดมากบางสถานที่มันเปลี่ยว ค่อนข้างอันตรายไปด้วยกันหลายๆ คนปลอดภัยกว่า ล่าทางช้างเผือกหน้าหาดสุดขอบฟ้าได้แล้ว เราก็ไม่ล่าทางช้างกันต่อที่ท่าเรือแป๊ะโย้ย โดยนัดโกแดงไว้ตอนตีสามครึ่ง ใช้เวลาจากที่พักไปท่าเรือประมาณครึ่งชั่วโมง เราก็ตั้งกล้องถ่ายภาพกันต่อที่ท่าเรือ ซึ่งต้องบอกเลยว่าเกาะพระทองเป็นสวรรค์ของนักถ่ายดาวจริงๆ เพราะเดินทางแต่ละจุดไม่ลำบากเหมือนขึ้นดอยทางภาคเหนือ แถมที่สำคัญมีที่ให้เปลี่ยนซีนได้ตลอด คือในหนึ่งคืนเราสามารถถ่ายภาพได้หลายจุด ช่วงเช้าเราก็ถ่ายภาพกันต่อที่ท่าเรือ อาหารเช้าเราสั่งไว้แล้ว กลับที่พักทานข้าวอาบน้ำเข้านอน เป็นทริปถ่ายภาพที่ต้องนอนกลางวัน เพราะเที่ยวทะเลตอนกลางวันจะร้อนมาก แต่สำหรับคนไม่อยากนอน เกาะพระทอง ยังเป็นแหล่งดูนกที่สำคัญ เพราะบนเกาะมีนกเกือบ 140 ชนิด ทั้งนกป่า นกน้ำ มีนกที่เด่นๆอย่าง กาน้ำ เหยี่ยวแดง กระสานวล ปากซ่อม รวมถึงนกหายากอย่าง “นกแก๊ก” นกเงือกพันธุ์เล็กสุดในตระกูลนกเงือก และ “นกตะกรุม” ที่หายากและใกล้สูญพันธุ์ นับเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์อันโดดเด่นที่ตอกย้ำถึงลักษณะเฉพาะและความหลากหลายทางธรรมชาติของเกาะพระทอง ให้เลือกเก็บภาพ และความโชคดีช่วงที่เราไปนกเงือกกำลังป้อนอาหารลูกเลย กลายเป็นทริปนี้ได้ถ่ายภาพนกไปด้วย
ช่วงบ่ายเรามีนัดไปเที่ยวกันต่อ เพื่อไปดูทะเลแหวกกันต่อที่บ้านปากจก การไปดูก็ซิ่งรถกะบะไปเลียบเลาะไปตามชายหาด ได้อารมณ์เหมือนขับรถเที่ยวในทะเลทราย เพราะมันร้อนมากนั่นเอง 555… จากชมทะเลแหวก แล้วถึงคิวไปเที่ยวต่อที่ ป่าเสม็ดบนเกาะพระทอง และทุ่งหญ้ากว้างที่ได้รับการยกย่องให้เป็นอันซีนไทยแลนด์ ที่คนรู้จักกันดีในนาม “ทุ่งสะวันน่าเกาะพระทอง” หรือบางคนก็เรียกว่า “ทุ่งหญ้าซาฟารี” แนะนำช่วงเวลาท่องเที่ยวคือ ปลายเดือนธันวาคม–กลางเดือนกุมภาพันธ์ เพราะเลยช่วงมีนาคมนี้ทุ่งหญ้าจะกลายเป็นสีดำ ยืนต้นตาย ต้องรอฤดูกาลใหม่อีกครั้ง และสำคัญแนะนำว่าต้องไปเที่ยวช่วงเช้า จะได้ไม่ร้อนถ่ายรูปได้เพลิดเพลินกว่า
จากทุ่งสะวันน่า กลับเข้าที่พักถ่ายแสงเย็นหน้าหาด ทานอาหารเข้าที่พัก คืนสุดท้ายของการถ่ายทางช้างเผือก คืนนี้เรานัดโกแดงไว้ตีหนึ่งครึ่งเพื่อออกเดินทางไปถ่ายภาพที่ ทุ่งสะวันน่า ไฮไลท์สำคัญของเกาะพระทองอีกจุดหนึ่ง และก็เปลี่ยนจุดมาต่อที่อ่างเก็บน้ำ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งมุมของเกาะพระทองที่น่าสนใจ เรียกว่าทริปนี้ออกล่าทางช้างเผือกกันอย่างจุใจ ก่อนจะกลับไปเจอกลับสถานการณ์ช่วงนี้ กับการระบาดอย่างหนักของ ‘โควิด-19’ จากไวรัสโคโรน่า ที่เราต้องต่อสู้กันไปเพื่อหาทางอยู่กับมันให้ได้ ช่วงนี้งดเที่ยวก็เหมือนให้ธรรมชาติกลับไปฟื้นตัวอีกครั้ง สำหรับใครที่อยากมาเที่ยวเกาะพระทองด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ และทุกอย่างมีเวลาของมัน ควรรู้ก่อนว่าเราอยากมาเที่ยวอะไร ถ้าจะมาดูทุ่งหญ้า ก็ต้องมาต้นปีไม่เกินเดือนกุมภาพันธ์ แต่ถ้าจะไปถ่ายทางช้างเผือก ก็ต้องเปิดดูปฏิทินดาว และดูฤดูกาลของพื้นที่ เช็คทุกอย่างให้พร้อม ที่เหลือก็แล้วแต่ธรรมชาติจะจัดสรร
ถ้าคุณผู้ที่ชื่นชอบธรรมชาติ สายธรรมชาติควรปักหมุด “เกาะพระทอง” ว่าเป็น Dream Destinations ที่ต้องมา