เรื่อง : eyejung, ภาพ : ทีม Camerart
บทความนี้มาจาก Camerart Magazine ฉบับ 240/2017 September
สนับสนุนโดย
หน้าต่างสมาชิกในตอนนี้จะพาสมาชิกสายธรรมชาติไปมอบคลานที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ขอเลื่อนออกไปอีกหนึ่งตอนหนึ่งแล้วกัน ตอนนี้เราจะพาไปเที่ยวทั้งสายธรรมชาติ และสายวัฒนธรรมแบบ Two in One กับทริปพิเศษของเรา “หลงรักเลย” ฟังชื่อทริปก็ตกหลุมรักกันแล้วใช่ไหมล่ะ ทริปนี้เราจะพาไปเที่ยว จังหวัดเลย ที่จัดกลุ่มอยู่ในอีสานเหนือ
จังหวัดเลย เป็นจังหวัดที่คนไทยเอามาใช้เป็นคำแสลง พูดกันอย่างแพร่หลาย เรียกว่าเป็นจังหวัดรวย… มุก… นอกจากสถานที่ท่องเที่ยวที่คุ้นหูอย่างภูกระดึง ที่หลายคนบอกว่าครั้งหนึ่งในชีวิตต้องไปพิชิตยอดเขาภูกระดึง แม้แต่คนไม่เคยไปเที่ยว ยังต้องคุ้นกับ…มุก…ไป…เลย…ก็ไม่ถึงสักทีสิ… เพราะเลย…ตลอด เรียกว่าเป็นมุกเก่าแก่ ที่ยังอยู่จนถึงปัจจุบัน แต่ทริปนี้เราจะไม่เลยไปไหน เพราะเราจะพาทุกท่านไป “หลงรักเลย” กัน
ออกเดินทางกันช่วงวันแม่ นัดหมายกันตีสี่ ที่ปั๊ม ปตท. หอการค้า ผู้ร่วมทาง 10 ท่าน พอดิบพอดี มีหลายท่านจะไปด้วยอีก แต่ต้องบอกว่าทริปนี้เรารับแค่นี้จริงๆ เพราะเราตั้งใจไปชิลๆ เฉพาะผู้ร่วมทริปนะ 555…ส่วน eyejung แอบเอางานไปทำด้วยนิดหนึ่ง อิอิ… ด้วยทริปนี้มีแต่คนคุ้นเคย ผู้มีประสบการณ์การเดินทางด้วยกัน เจอกันทักท้ายกันเรียบร้อย ได้เวลานอน นอกจากอุปกรณ์ถ่ายภาพ เดี๋ยวนี้ทุกท่าน Advance มีอุปกรณ์เครื่องนอนด้วย ขึ้นรถปุ๊บหมอน หนุนคอคนละใบ หลับกันไป หลับกันมาด้วยความสบายใจกับคนขับรถที่เราไว้ใจอย่าง…คำแสน ทริปนี้เราเลือกเส้นทาง สระบุรี ลพบุรี เพชรบูรณ์ และเข้าจังหวัดเลย ซึ่งเป็นเส้นทางหลวงหมายเลข 21 เป็นเส้นทางที่ใกล้ที่สุด และน่าจะหนีปัญหาเรื่องรถติดเส้นโคราชไปได้เยอะ เพราะได้ข่าวว่าเส้นนั้นติดหนักมาก ออกเดินทางตั้งแต่เที่ยงคืนวันศุกร์ 7 โมงเช้ายังไม่ถึงโคราชเลย
เดินทางเข้าสู่จังหวัดลพบุรี แวะพักทานข้าว กับข้าวแกงใต้ที่เผ็ดถึงใจจริงๆ จากนั้นขึ้นมานอนต่อ เรากะว่าช่วงเที่ยงวันนี้เราจะเดินทางถึงจุดหมายแรกที่เราวางแผนไว้ อ่างเก็บน้ำห้วยกระทิง เป็นอ่างเก็บน้ำชื่อดังและสวยงามที่สุดแห่งหนึ่งในตัวเมืองเลย เพราะตั้งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติของต้นไม้ และโอบล้อมขุนเขาสูงใหญ่ แต่อยู่ในความดูแลของวนอุทยานหริรักษ์ อ.เมือง จ.เลย เดินทางไปถึงหาทางเข้าไม่เจอ เห็นแต่ทางเข้าแพ ซึ่งดูแล้วเหมือนสถานที่ส่วนตัว ด้วยความที่ไม่คุ้นเคย แต่ก่อนมา eyejung เช็คกับทาง ททท. จังหวัดเลย คุณไหม แนะนำให้เราไปที่แพกลุ่มแม่บ้าน แต่ด้วยความหิวข้าวของ eyejung แพไหนก็แวะละ ฮ่าฮ่าฮ่า แต่พอเข้าไปถึงก็ลืมหิวไปชั่วขณะเพราะที่นี่สวยสมคำล่ำลือ “ความงดงามทามกลางขุนเขา” งานนี้ทุกคนลืมหิว คว้ากล้องมาเก็บภาพสวยๆ กันก่อน กับจุดแวะแรกของเรา ถ่ายภาพกันเสร็จ มาสอบถามเรื่องสั่งอาหาร ซึ่งทางแพบอกว่าต้องรอคิวแพ อย่างน้อย 1 ชั่วโมง เนื่องจากวันนี้ลูกค้าพาครอบครัวออกมาทานข้าวนอกบ้านกันเยอะมาก ก็วันแม่นิน่า… eyejung หิวตาลายแล้ว คาดว่าจะรอไม่ไหว ทริปนี้เราเลยไม่ได้กินข้าวเคล้าบรรยากาศสวยๆ ของอ่างเก็บน้ำห้วยกระทิงเบยยยยย
ออกจากอ่างเก็บน้ำห้วยกระทิง ตั้ง GPS ในจุดต่อไป วัดศรีคุณเมือง ในอำเภอเชียงคาน แล้วก็ดูว่าผ่านร้านอาหารไหนที่น่าสนใจก็แวะร้านนั้นแล้วกัน ทริปเราเป็นแบบทริปกันเอง ว่าอย่างไง ก็ว่าตามกัน ขับรถมาเกือบถึงตัวเมือง เจอร้านอาหารบ้านท่าแพ eyejung สั่งจอดรถทันที เพราะร้านนี้อยู่ในแผนที่กะจะมาทริป AIS เลย ขอแวะชิมหน่อย เจอเจ้าของร้านใจดี จัดเมนูหมี่กรอบ น้ำแดงมาให้ทานเล่น สมนาคุณลูกค้าเนื่องในวันแม่ ด้วยความอร่อย eyejung ขอเพิ่มอีกที่ได้ไหม เนื่องจากคนเราเยอะเจ้าของร้านอย่าง คุณปุ้ย… ก็ใจดีจัดให้ อิ่มอร่อยกับอาหารมื้อแรกที่จังหวัดเลย กับอีกหนึ่งร้านดัง เราก็เดินทางกันต่อยังจุดแวะที่ 2 ของวันนี้ วัดศรีคุณเมือง ที่อยู่ ซอย 7 ถนนชายโขง ณ เชียงคาน คราวนี้ได้พาคนโสดมาขึ้นคานแก้เคล็ด 555… เพื่อจะได้ลงจากคานกันเสียที อิอิ…
วัดศรีคุณเมือง เป็นแหล่งรวมงานศิลปะแบบล้านนาผสมล้านช้าง ที่งดงามแปลกตา หน้าโบสถ์มีภาพจิตรกรรมฝาผนังเป็นภาพชุดทศชาติชาดก ซึ่งวาดขึ้นใหม่แทนของเดิม แต่ก่อนที่เราจะไปวัดศรีคุณเมือง เรามีนัดกับ…ป้านาง เรียกว่าเป็นปราชญ์ชาวบ้าน ที่จะมาทำ ผาสาดลอยเคราะห์ (ปราสาท) คือ พิธีกรรมการสะเดาะเคราะห์ตามความเชื่อของชาวเชียงคาน ที่มีความเชื่อเรื่อง ว่าผาสาดลอยเคราะห์ เกี่ยวกันกับความเชื่อเรื่องขวัญ และเรื่องเคราะห์กรรม ที่เกิดขึ้นกับร่างกายและจิตใจ เนื่องในอดีตวิวัฒนาการของมนุษย์ยังไม่เข้าถึงการแพทย์ การทำผาสาดตามความเชื่อที่ดังเดิม เรื่องผี เรื่องขวัญธรรมชาติ ความเชื่อทางพุทธศาสนา ที่ผสมผสาน ทั้งความเชื่อของพราหมณ์-ฮินดูและวิถีชุมชน ที่ผูกพันกับสายน้ำโขง ผสมผสานรูปลักษณ์ของผาสาด ที่แฝงไว้ด้วยความหมายในเชิงวัฒนธรรมที่ผูกพันอยู่กับพื้นที่ โดยผาสาด จะทำจากวัสดุจากธรรมชาติเป็นมิตรต่อระบบนิเวศ เมื่อทำผาสาดเสร็จ วิธีจะนำไปลอย ก็จะตัดเส้นผม และเล็บ ของผู้ที่จะเอาผาสาดลอยเคราะห์ไปลอยริมโขง หรือใครอยากเหมาเรือนำไปลอยกลางแม่น้ำโขง พร้อมชมพระอาทิตย์ตกกลางแม่น้ำก็ได้ วันนี้อาสาสมัครที่จะนำผาสาดไปลอย เจ้าแพค ซึ่ง ป้านาง บอกเคล็ดลับว่าต้องมีศรัทธา ถึงจะส่งผลทริปนี้เจ้าแพคคงโชคดีกว่าใคร ลอยผาสาดเสร็จ กลับเขาที่พักริมโขง หม่อลาว แต่ราคาต้องบอกเลยว่าเป็นราคามิตรภาพมาก ที่พักน่ารัก เจ้าของก็ใจดีสุดๆ เข้าห้องปุ๊บขออาบน้ำคลายร้อนกันก่อน นัดกันห้าโมงครึ่ง เราจะเดินไปชมวิวพระอาทิตย์ตกริมฝั่งโขง ตามวิถีสโลไลฟ์ แล้วไปเดินต่อถนนคนเดินของเชียงคาน แหล่งช้อปปิ้งสุดคลาสสิคริมฝั่งโขง บรรยากาศสไตล์บ้านไม้โบราณ เดินเล่นเพลินๆ หาของทาน และวันนี้พิเศษ แวะหาเจ้าถิ่น สมาชิกที่น่ารักอีกท่าน คุณเตโชทัย เจ้าของโฮมสเตย์ที่เชียงคาน ที่วันนี้หอบหิ้ว แหนมที่ทำเองมาฝากเพื่อนๆ สมาชิกที่ร่วมทริป เสียดาย eyejung ทานไม่เป็นเลยอดชิมเลย เดินทอดน่องท่องถนนคนเดินจนทั่ว ได้เวลากลับไปพักผ่อน พรุ่งนี้เช้าจะได้รีบตื่นมาดูวิถีชีวิตยามเช้า ของชาวเชียงคาน
เช้าวันที่สอง เรายังคงอยู่ที่เชียงคาน นัดกันแต่เช้าตรู่ เวลาตีห้า เที่ยวเชียงคานตามวิถีสโลไลฟ์ เราจึงไม่ได้ใช้รถ ส่วนใหญ่ก็เดิน บางท่านก็ปั่นจักรยาน แต่ด้วยวิถีของเราชาวช่างภาพ การเดินไปถ่ายภาพไปน่าจะสะดวกที่สุด เช้านี้เดินลัดเลาะริมฝั่งโขง แสงอรุณยามเช้าที่สาดส่อง ก็เหมือนมนต์สะกด ให้เราได้เก็บภาพสีสันยามเช้าแบบนี้ จากนั้นเราก็ออกเดินกันต่อไปยังถนนคนเดิน ซึ่งวันนี้มีนักท่องเที่ยวที่มารอใส่บาตรกันค่อนข้างเยอะ แม้ว่าวิถีของความดังเดิมจะลดน้อยลงไปบ้าง โดยเฉพาะ แม่ค้าที่ขายของใส่บาตร คือ เราไม่เข้าใจว่าทำไมตอนพระยังไม่มาคุณไม่ไปขายของให้เขา แต่พอพระมา เขาจะใส่บาตรกัน มาเดินตัดหน้าถามว่าจะใส่ขนมเพิ่มไหม กลายเป็นภาพที่ไม่สวยงามเหมือนที่เคยมีมา แม่ค้าเดินกันจนวุ่นวาย มองดูแล้วน่าเบื่อ เสน่ห์ที่เคยมีค่อยๆ ลดทอนลงไป เดินดูวิถีชีวิตยามเช้า ได้เวลาหาของทานกันแล้ว หนึ่งในเมนูเลื่องชื่อ คือข้าวเปียก (ก๋วยจั๊บญวน) และปาท่องโก๋ ยัดใส่ ไข่กระทะ มาครั้งนี้เราไม่พลาด ทานครบทุกเมนู ทานกันเรียบร้อย ได้เวลาแพคกระเป๋าออกเดินทางกันต่อ
เดินทางมาต่อที่ หมู่บ้านวัฒนธรรมบ้านไทดำ บ้านนาป่าหนาด ห่างจากเชียงคานมาแค่ 17 กิโลเมตร วันนี้เราได้รับการต้อนรับจาก คุณอิ๋ว เจ้าหน้าที่ ททท. จังหวัดเลย และยังเป็นชาวไทดำด้วย นอกจากคุณอิ๋วแล้ว ยังมีเด็กๆ ชาวไทดำ มาต้อนรับ งานนี้พี่ๆ เลยจับมาเป็นแบบ ซึ่งน้องๆ ก็น่ารักให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี หมู่บ้านวัฒนธรรมบ้านไทดำ บ้านนาป่าหนาด สร้างขึ้นเพื่อให้เป็นแหล่งที่เผยแพร่ข้อมูลด้านวัฒนธรรม และวิถีชีวิตรวมทั้งประวัติ ความเป็นมาของชนชาวไทดำบ้านนาป่าหนาด ที่นี่ถือเป็นหมู่บ้านของชาวไทดำเพียงแห่งเดียวในภาคอีสาน ที่ยังคงรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามของตนไว้ได้อย่างเหนียวแน่น จัดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ที่ไม่ควรพลาด ที่ต้องไปเยือนให้ได้ ซึ่งถ้าใครอยากเรียนรู้อย่างลึกซึ้งที่นี่ ก็มีโฮมสเตย์ไว้คอยบริการ ตื่นเช้ามาจะได้ฟินกับท้องทุ่งนาที่โอบรอบ ส่วนคนที่ไม่ได้พัก แนะนำให้ไปแต่เช้าเพราะที่นี่เขามีชุดไทดำให้เปลี่ยน เราจะได้มาถ่ายภาพ Portrait สไตล์ลึกซึ้ง กับแสงนุ่มกับท้องทุ่งนา ซึ่งงานนี้ eyejung และน้องสิ ก็ไม่พลาด ขอย้อนวันวานเป็นชาวไทดำกับเขาหน่อย ถ่ายภาพกันจนชุ่มใจ ได้เวลาไปเที่ยว อำเภอด่านซ้ายกันบ้าง
เดินทางมาถึงด่านซ้ายจุดแรกที่เราจะแวะคือ พระธาตุศรีสองรัก ศิลปกรรมแบบล้านช้างที่มีสัณฐานคล้ายกับองค์พระธาตุพนม เป็นพระธาตุที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นสักขีพยานแห่งไมตรี ในการช่วยเหลือกัน ระหว่างกรุงศรีอยุธยาและกรุงศรีสัตนาคนหุต (ลาว) ในการสงบศึก ที่นี่จึงให้งดแต่งกาย สีแดง ขึ้นสักการะองค์พระธาตุศรีสองรัก เพราะสีแดง เป็นเหมือนสีตัวแทนของเลือด กราบสักการะเสร็จแล้ว เดินทางมาต่อที่ วัดเนรมิตวิปัสสนา ที่ตั้งอยู่บนเนินเขา พาพวกเรามากราบนมัสการ พระพุทธชินราชจำลอง ชมสถาปัตยกรรมภายในวัดที่สร้างจากศิลาแลง สวยงามแปลกตาชมภาพจิตรกรรมฝาผนังภายในพระวิหาร แล้วเราก็เดินทางกันไปต่อที่ พิพิธภัณฑ์ผีตาโขน ที่วัดโพนชัย ชมรูปแบบของหน้ากากผีตาโขน ที่มีสีสันสวยงาม เรื่องราวความเป็นมาของประเพณีผีตาโขน หนึ่งเดียวในเมืองไทย เป็นพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น ที่ไม่ได้ใหญ่มากนัก แต่ถ้ามาเป็นหมู่คณะ แนะนำให้เขาจำลองการวาดหัวผีตาโขน หรือ การเต้นของผีตาโขน มาให้ถ่ายภาพจะดูมีสีสันกว่า เที่ยวด่านซ้ายกันไปแล้ว ได้เวลาเดินทางไปต่อที่อำเภอภูเรือ
เดินทางกันต่อมาที่อำเภอภูเรือ จุดแวะถ่ายภาพซีนสุดท้ายของวันนี้ “วัดสมเด็จภูเรือมิ่งเมือง” งดงาม..ดุจภาพวาด โบสถ์ไม้สักท่ามกลางขุนเขา เป็นพระอารามที่สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ได้ทรงพระราชทานเงินซื้อ ที่ดินสร้างวัดนี้ บนยอดเขา ชื่อเดิมวัดพระกริ่งปวเรศ ตั้งอยู่ท่ามกลางทัศนียภาพอันสวยงามของขุนเขา ที่ขึ้นสลับซับซ้อนกันไปมาในอำเภอภูเรือ และเป็นที่ประดิษฐาน องค์พระพุทธรูป พระพุทธเจ้าไภสัชยาคุรุไวฑูรยประภา จอมแพทย์ (พระกริ่งปวเรศ) บรรจุองค์พระบรมสารีริกธาตุเพื่อบรรจุไว้ที่องค์พระปฏิมากรนี้ ตัวอาคารมีสถาปัตยกรรม ศิลปกรรม และประติมากรรมที่งดงามยิ่ง หลังคาที่ผสมผสานความงามสไตล์ไม้สนซีดาร์ ผลิตมาจาก Fiber Cement ที่ใช้นวัตกรรมขั้นสูง น้ำหนักเบา แต่งดงามตามแบบ Natural Look โบสถ์วิหารงานไม้สักแกะสลักอลังการ พระนอน พระวิหาร นาคหัวบันได แกะจากหินหยกแม่น้ำโขงแท่งตันๆ สวยงามจนไม่อาจบรรยายได้หมด แนะนำว่าไม่ควรพลาดที่จะมาชื่นชม แถมอยู่ห่างจากอุทยานแห่งชาติภูเรือเพียง ไม่กี่กิโลเมตร จากวัดสมเด็จภูเรือมิ่งเมือง เราเดินทางกันต่อมายังที่พักที่อยู่หน้าอุทยานวันนี้ชิลๆ นั่งเม้าม้อยท์ ก่อนออกไปหาอะไรทาน แล้วรีบกลับมาพักผ่อน พรุ่งนี้เรามีนัดกันแต่เช้าตรู่ ที่อุทยานแห่งชาติภูเรือ
เช้าวันสุดท้ายทริป…หลงรักเลย นัดกันตีสี่ครึ่ง เพื่อพิชิตยอดภูเรือ (สูง 1,365 เมตร) จุดหนาวที่สุดในแดนสยาม สโลแกนของที่นี่เขานะคะ จน eyejung แปลกใจเหมือนกันว่าทำไมที่นี่ถึงหนาวสุดในสยาม เราก็ได้ไปหาคำตอบมาแล้ว ว่าเพราะเหตุใด ได้คำตอบมาดังนี้ ดูเป็นวิชาการนิดหนึ่ง อิอิ…
“อุทยานแห่งชาติภูเรือ” อยู่ในลักษณะเป็นช่องระหว่างภูต่างๆ ช่องดังกล่าวนี้เป็นทางผ่านของลมหนาวที่พัดลงมาจากจีนซึ่งลมดังกล่าวเข้ามาแล้วก็จะชนกับภูเรือ ทำให้อากาศเย็นหมุนเวียนอยู่ภายใน และนี่คงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ อุทยานแห่งชาติภูเรือขึ้นชื่อว่าหนาวที่สุดในแดนสยาม นอกจากนี้ อท.ภูเรือยังเป็นอีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวที่ไม่พิศวาสความลำบากยากแค้นสักเท่าไหร่นักเลือกที่จะมาสัมผัสกับบรรยากาศอันหนาวเหน็บ เพราะว่าเราสามารถขับรถส่วนตัวขึ้นไปได้อย่างสบาย และไปต่อรถท้องถิ่นเพื่อขึ้นไปชมทะเลหมอก อีกเพียง 700 เมตร ค่าขึ้นลงเที่ยวละ 10 บาท เรียกว่าสะดวกสบายสุดๆ
ลงจากรถตู้ปั๊บเราก็สัมผัสกับความหนาวเย็นของอุณหภูมิ 17 องศา และแสงพระอาทิตย์ขึ้นกระทบทะเลหมอกยามอรุณรุ่ง งานนี้บอกได้คำเดียวว่าตกหลุมรักเลย กับจุดชมทิวทัศน์พระอาทิตย์ขึ้นบนภูเรือ ที่มีความสวยงามนั้นมีอยู่ 2 แห่ง คือ ผาโหล่นน้อยและยอดภูเรือ สำหรับ “ผาโหล่นน้อย” นี้อยู่ห่างจากลานจอดรถบริเวณใกล้เคียงเพียงแค่ไม่ถึง 200 เมตร เดินต่อมาไม่ไกลก็จะมองเห็นศาลาชมทิวทัศน์ซึ่งเป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้น วันนี้ทั้งหมอก และพระอาทิตย์ช่างเป็นใจ จนอยากหยุดเวลาไว้ตรงนี้ เป็นทริปที่ทุกสถานที่ต้องหลงรักเลย จริงๆ Bye…eyejung