เรื่อง : eyejung, ภาพ : ทีม Camerart
บทความนี้มาจาก Camerart Magazine ฉบับ 253/2018 October
หน้าต่างสมาชิกตอนนี้ เราจะพาทุกคนไปรวมย้อนตำนาน สวนสัตว์เขาดิน (เขาดินวนา) สวนสัตว์กลางกรุง แห่งแรกของประเทศไทย จากกรณีที่สวนสัตว์ดุสิต จะปิดให้บริการตั้งแต่สิ้นเดือนสิงหาคม 2561 ปิดตำนาน 80 ปี จนเป็นกระแสฟีเวอร์ ให้ประชาชน และนักท่องเที่ยว ได้กลับไปรำลึกสถานที่ ที่เป็นความทรงจำของใครหลายต่อหลายคน จนฝ่ายงานประชาสัมพันธ์สวนสัตว์ดุสิต ได้แพร่ข้อความผ่านเพจเฟซบุ๊ก “สวนสัตว์ดุสิต” โดยระบุว่า ขอเรียนให้ทราบว่า สืบเนื่องจากมีประชาชนจำนวนมากต่างหลั่งไหลเดินทางมาเที่ยวชมสวนสัตว์ดุสิตอย่างต่อเนื่อง เพื่อเก็บภาพ และบรรยากาศเป็นที่ระลึก ผู้บริหารองค์การสวนสัตว์ ได้นำสถิติการเข้าชมของนักท่องเที่ยว มาพิจารณาอย่างรอบคอบแล้วเห็นว่าสมควรขยายระยะเวลาการเปิดให้เข้าชมสวนสัตว์ดุสิตต่อไปอีกเป็นระยะเวลา 1 เดือนให้ประชาชนได้เก็บภาพความทรงจำจนถึงสิ้นเดือนกันยายน 2561 สัตว์ดุสิต หรือ เขาดินวนา ที่เปิดให้บริการมา 80 ปี จะถูกปิดเหลือไว้แต่ชื่อและความทรงจำของผู้คน
CAMERART เองก็ไม่พลาด ชวนเพื่อนๆ ที่รักในการถ่ายภาพให้ไปร่วมรำลึกความทรงจำของสวนสัตว์เขาดินด้วยกัน และร่วมตามหา 7 ความทรงจำในสวนสัตว์เขาดินกัน มีอะไรกันบ้าง ไปร่วมตามหากันเลย ทริปนี้เรานัดกัน 10 โมงเช้าเจอกันที่สวนสัตว์เขาดิน และเราจะอยู่กันทั้งวัน ใครมาตอนไหน ก็สามารถมาเจอกันได้ คนแรกที่เจอ พี่แพท กำลังส่องน้องเสือที่นอนหลับอยู่ เราออกตามหาความทรงจำในเขาดินกันก่อนเลย กับสิ่งแรกที่เจอ
1. รถเสือโคร่ง รถพ่วงที่ใช้บริการ พาเที่ยวชมสวนสัตว์เขาดิน ด้วยความเป็นเอกลักษณ์ ของหน้าตาของเจ้ารถเสือโคร่งเอง เลยทำให้เจ้ารถลายเสือเป็นภาพในความทรงจำของคนที่มาเที่ยวสวนสัตว์เขาดิน
- อีกา อีกหนึ่งสัตว์ที่อยู่คู่กับสวนสัตว์เขาดิน เมื่อเราเดินเข้ามาก็เห็น อีกา ที่เป็นเจ้าบ้านคอยต้อนรับอยู่ ณ ที่แห่งนี้ ไม่ว่าเราจะเดินไปทางไหนของเขาดิน เราก็จะได้ยินเสียง และเจอแต่อีกา
- หลุมหลบภัย ของแท้สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นอีกจุดที่เป็นที่บันทึกเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ ในสมัยที่ประเทศไทยเผชิญกับสงครามโลกครั้งที่ 2 ท่ามกลางสมรภูมิของทั้งสองฝั่ง ได้มีการทิ้งระเบิดทางอากาศเกิดขึ้น ทำให้พื้นที่ของสวนสัตว์ดุสิตในยุคนั้นถูกใช้เพื่อเป็นหลุมหลบภัยจากการโจมตีดังกล่าว แม้ปัจจุบัน ก็ยังมีการจัดแสดงนิทรรศการ ให้ผู้คนได้แวะเวียนมาเยี่ยมชม และถ่ายภาพ
- “แม่มะลิ” ฮิปโปโปเตมัส เพศเมีย อายุ 52 ปี ฮิปโปโปเตมัส ที่มีอายุยืนที่สุดในประเทศไทย ถ้าหากเทียบกับอายุคนแล้ว จะมีอายุประมาณ 100 ปี ก่อนปิดเขาดิน ก็ไปร่วมฉลองอายุ “แม่มะลิ” ฉลองจัดวันเกิด 52 ปี ก่อนเตรียมย้ายไปอยู่เขาเขียว เป็นอีกหนึ่งสัตว์ที่อยู่ยืนยาวคู่กับสวนสัตว์เขาดิน
- เรือจักรยานนาวา ที่อื่นมีเรือเป็ดแต่ที่นี่มี เรือจักรยานนาวา เป็นเรือที่บริการให้นักท่องเที่ยวอย่างเราได้ถีบชมทัศนียภาพรอบทะเลสาบ รับลมเย็นสบายๆ เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่น่ารัก เหมาะที่จะให้ครอบครัว คู่รัก หวานเนอะ 555….
- จุดชมวิวพระที่นั่งอนันตสมาคม ไฮไลท์สำคัญที่ช่างภาพต่างตามหา เป็นความสวยงาม เต็มไปด้วยประวัติอันยาวนาน รวมไปถึงความทรงจำอันมากมายที่เกิดขึ้น เรียกว่าเป็นมุมสุดคลาสสิค ที่หลายคนห้ามพลาดมาเก็บภาพมุมนี้
- สยามสเต็ก ที่เป็นอีกหนึ่งความทรงจำขอสวนสัตว์เขาดิน แต่เขาบอกว่าหากินยากกกกกกมักมาก และในครั้งนี้ eyejung ก็ตามหาไม่เจอ เลยได้แค่ 6 สิ่งในความทรงจำสุดท้าย
และสวนสัตว์เขาดินก็ได้ปิดตัวลงปิดตำนานสวนสัตว์กลางกรุงที่อยู่คู่คนไทยมา 80 ปี ต่อไปเราคงต้องไปเที่ยวสวนสัตว์กันที่ต่างจังหวัดแล้ว ณ สวนสัตว์ต่างๆ ภายใต้การบริหารขององค์การสวนสัตว์ จำนวน 6 แห่งทั่วประเทศ ได้แก่ สวนสัตว์เปิดเขาเขียว สวนสัตว์เชียงใหม่ สวนสัตว์นครราชสีมา สวนสัตว์สงขลา สวนสัตว์อุบลราชธานี และสวนสัตว์ขอนแก่น ใครใกล้จังหวัดไหนก็ไปเยี่ยมชมกันได้นะคะ
ทริปอำลาเขาดินจบกันไปแล้ว เราก็มาต่อกับ One day Trip จังหวัดสระบุรี ฤดูฝนแบบนี้ช่างภาพสายธรรมชาติคงไม่พลาด ครั้งนี้ eyejung เลือกสถานที่ที่เอาใจสายธรรมชาติ และสายธรรมะ ที่จะทำให้คุณหลีกหนีจากโลกที่วุ่นวาย! ให้รู้สึกผ่อนคลายกับการมาเที่ยวถ่ายภาพกับ CAMERART เริ่มต้นทริปด้วยสถานที่เอาใจของกลุ่มโลกใบเล็ก บนโลกใบใหญ่ ผู้ที่ชื่นชอบการถ่ายรูปแนวมาโคร ต้องบอกว่าเป็นกลุ่มที่ช่วงขาต้องแข็งแรง เพราะต้องเป็นสายย่อ บางครั้งถึงกับถึงต้องหมอบคลาน เป็นอีกหนึ่งสายที่ได้ฝึกสมาธิ และความอดทน ซึ่ง eyejung ยอมแพ้จริงๆ ด้วยความเป็นคนสมาธิสั้น และไม่ชอบอยู่กับที่นานๆ การถ่าย Macro มันเป็นอะไรที่ยากมากสำหรับ eyejung 555… แต่ก่อนออกไปเราควรเตรียมเติมพลังให้พร้อม เช้านี้แวะทานหารเช้าที่ ร้านข้าวแกงบ้านสวน เลือกทานกันตามใจชอบ และทริปนี้เป็นทริปแรกที่ eyejung ไม่ได้ทำเรื่องขอให้ทาง ททท. มาเลี้ยงอาหารพวกเรา ซึ่งปีนี้ตลอดทั้งปี เราได้ความอนุเคราะห์จากทาง ททท. มาโดยตลอด มาครั้งนี้ไม่มีนะคะ เดี๋ยวหลายคนเข้าใจผิดคิดว่ามากับ CAMERART มีกินฟรีทุกทริป 555….
ถึงทริปนี้เราจะไม่มีกินฟรี แต่เราก็เพิ่มโปรแกรมจุดถ่ายภาพให้เพิ่มอีกหนึ่งจุด จุดแรกของเราในวันนี้ ศูนย์ศึกษาธรรมชาติ เจ็ดคต โป่งก้อนเส้า เป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ แต่ถูกแยกออกมาให้อยู่ในความดูแลของสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 1 (สาขาสระบุรี) เพื่อความสะดวกในการดูแลนักท่องเที่ยว โดยจัดให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงนิเวศ และเป็นสถานที่พักแรมสำหรับคนที่อยากมาพักผ่อนท่ามกลางธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ ริมอ่างเก็บน้ำซับป่าว่าน ใครที่อยากสัมผัสธรรมชาติแบบไม่ไกลจากกรุงเทพฯ คงไม่พลาดที่จะมาตั้งแคมป์พักแรม หรืออยากพักสบายๆ ลุ้นกับตุ๊กแกนิดหน่อยก็จองบ้านพักได้ แต่สำหรับคนที่ชอบถ่ายภาพธรรมชาติ โดยเฉพาะสายมาโครต้องบอกว่า…ต้องมาที่เจ็ดคตเลย…โดยเฉพาะ เห็ดแชมเปญ ขอบอกว่าเป็นไฮไลท์ของที่นี่เลยก็ว่าได้ และที่สำคัญกว่านั้นคือที่ เจ็ดคต สามารถถ่ายแบบสบายใจไม่ต้องพะวงเรื่องทากที่จะคอยมาดูดเลือด เหมือนที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ความพิเศษของดินที่เป็นหินปูนของจังหวัดสระบุรี เลยทำให้ที่นี่ปลอดทาก เราเลยสามารถก้มถ่ายมาโครได้อย่างสบายใจ ความสนุกอีกอย่างของการถ่ายภาพมาโคร คือ การช่วยกันหาเจ้าสิ่งเล็กๆ บนโลกใบใหญ่ และด้วยประสิทธิภาพของเลนส์มาโครมันก็ขยายเจ้าสิ่งเล็กๆ เหล่านี้ให้เราหลงใหลในความสวยงาม เลยไม่แปลกใจเลยว่าเมื่อลงจากรถไป 60 กว่าท่าน นั้นหายไปอยู่ในโลกของมาโคร จากตอนแรกก็เดินไปด้วยกันเป็นกลุ่มหันกลับมาอีกที่หายไปไหนกันหมด บางท่านยังนั่งปั้นมุมอยู่จุดเดิม ที่เพิ่งเดินเข้ามาอยู่เลย เป็นการถ่ายภาพที่ได้ฝึกสมาธิความอดทน และข้อเข่าเป็นอย่างมาก 5555555…
ทริปนี้พิเศษคือ eyejung เพราะพอหมดเวลาฝนก็ตกลงมา เหมือนทำหน้าที่แทน eyejung เลย ชอบๆ อิอิ.. เพราะได้ยินมาว่าหลายคนบ่นว่า eyejung ดุ เวลาตามให้ขึ้นรถ รอบนี้เลยต้องลดความดุของตัวเองลงสักหน่อย ฮ่าฮ่าฮ่า และ…มื้อเที่ยงทริปนี้…เราให้สั่งเป็นอาหารกล่องทานกันที่ศูนย์บริการ เพราะจุดที่เราไปไม่มีอาหารขาย ทานกันอิ่มเรียบร้อยฝนก็หยุดพอดี เราก็ออกเดินทางกันต่อไปที่ วัดป่าสว่างบุญ หนึ่งในแลนด์มาร์ค ของจังหวัดสระบุรี กับ พระมหารัตนโลหะเจดีย์ศรีศาสนโพธิสัตว์สว่างบุญ หรือเจดีย์ 500 ยอด ที่ต้องมาชมความงามของสถาปัตยกรรมมหาเจดีย์ 500 ยอด ใครที่ชอบงานด้านเส้นสาย ต้องลองเดินหามุมถ่ายภาพที่ เจดีย์ 500 ยอด ส่วนน้องกอล์ฟ เตรียมการมาเพื่อจะเป็นแบบ กับเสื้อสีส้ม เล่นเอง แสดงเอง แต่ไหว้วานเพื่อนช่วยถ่ายให้นะ กอล์ฟลงมาเป็นแบบ เพื่อนๆ ก็ขอแจมถ่ายด้วยสักหน่อย
หันไปอีกมุมหนึ่งเห็น หมอเปิ้ล พี่พี มิสเตอร์อ่องวิน คุณกิตติ กำลังรอคิวถ่ายภาพมุมบันได สงสัยจะเป็นมุมเด็ด ถึงขนาดต่อแถวเข้าคิวถ่ายภาพกันเลยที่เดียว นอกจากจะมีมุมมหาเจดีย์ 500 ยอด ในวัดป่าสว่างบุญก็มีการก่อสร้างเพิ่มอีกหลายๆ จุด เดินถ่ายภาพกันจนเพลิน ในวันที่ฟ้าเป็นใจ แม้จะไปกันหลายรอบ…แต่ก็มีมุมใหม่ๆ ให้เดินตามหา ส่วนพี่ชายสายฮาของเราอย่าง พี่ป้อน รอบนี้ลงทุนลาก eyejung เป็นแบบอยู่มุมมหาเจดีย์ ว่าแต่ให้ไปอยู่ไกลสุดบนยอดจะเห็นไหม แถมถึงขนาดโทรสั่งกำกับเดินขยับซ้ายขยับขวาอยู่นานสองนาน ก็ไม่รู้ว่าจะได้ภาพออกมาแนวไหน รอลุ้นคอยดูอยู่เหมือนกัน ส่วนอีกกลุ่มไม่รู้ร้อนหรือยังไง ถึงเข้าวัดไม่ได้ ไปยืนเกาะกำแพงอยู่หน้าวัด….กลุ่มนี้เขาอินเทร์นนะ…. ช่วงนี้กระแสเกาะขอบโต๊ะเขากำลังมาแรง เราเลยไปเกาะกำแพงวัดกัน 555… จริงๆ อาจจะร้อนจนเข้าวัดไม่ได้ ก็อาจจะเป็นไปได้ อิอิ… เลยเห็นกลุ่มคุณชั้ย ไปก้มๆ เงยๆ อยู่รั่วกำแพงวัด นี่ก็อาจจะเป็นมุมเด็ดอีกหนึ่งมุม เดี๋ยวต้องรอลุ้นกันตอนส่งภาพประจำทริปเข้าประกวด และเหมือนฟ้าจะเป็นใจให้อีกครั้ง ไม่รู้ทริปนี้ eyejung ทำบุญมาด้วยอะไร พอใกล้หมดเวลา ฟ้าก็มืดครึ้มมาเชียว จนหลายคนไม่ต้องให้เดินตามขึ้นรถมาแต่โดยดี จะมีก็…คุณตี๋ นรา ที่หายไปนานมาก ถ่ายภาพจนลืมเวลาไปหน่อย ขึ้นรถปุ๊บฝนก็ตกเทกระหน่ำลงมา ต้องบอกว่าทริปนี้เราโชคดีกันจริงๆ และแหล่งท่องเที่ยวสุดท้ายของวันนี้เป็นน้ำตกที่ Unseen ของจังหวัดสระบุรีเลย
อุทยานแห่งชาติน้ำตกสามหลั่น เป็นน้ำตกขนาดใหญ่ที่สุดของอุทยานแห่งชาติน้ำตกสามหลั่น ลักษณะเป็นสายน้ำไหลผ่านลานหินกว้าง ลดหลั่นกันลงมา 3 ชั้น คล้ายขั้นบันได ช่วงน้ำหลากสายน้ำจะไหลบ่าลงมาทั้งลานหินสวยงามมาก แต่น้ำตกนี้ต้องบอกว่าไม่ใช่เที่ยวได้ตลอดทั้งปีนะ เป็นน้ำตกที่ไม่มีน้ำตกเลย ถ้าไม่ใช่ฤดูฝน ที่ต้องมีฝนตกตกลงมาจำนวนมาก จนน้ำไหลล้นอ่างเก็บน้ำด้านบนถึงจะมีน้ำตกให้เห็น ทางที่ดีก่อนมาคอยเช็คเจ้าหน้าที่ก่อนว่าน้ำตกมีน้ำหรือยัง เป็นอีกน้ำตกที่ต้องมีบุญจริงๆ ถึงจะได้เห็น 555… เกินไปป่ะเนี่ย… แต่มันจริงนะ เพราะบางปีถึงจะมีฝนแต่เราก็แทบไม่ได้เห็นน้ำตก เพราะด้านบนเขาทำเป็นอ่างเก็บน้ำ เพื่อใช้ในการเกษตรช่วงฤดูร้อน ถ้าฝนไม่ตกล้นอ่างเก็บน้ำจริงๆ รับรองว่าไม่ได้เห็น หรือว่าถ้าอยากเห็นน้ำตก ก็ต้องทำเรื่องขอทางอุทยานเพื่อเปิดที่กั้นน้ำออกมา แต่จะทำในกรณีที่สำคัญเท่านั้น เพราะน้ำเป็นทรัพยากรสำคัญในช่วงฤดูที่ไม่มีน้ำ ใครอยากเที่ยวน้ำตก ต้องบอกว่า เช็คเมื่ออาทิตย์ที่แล้วว่ามีน้ำ พออีกอาทิตย์จะไป อาจจะเจอน้ำน้อยมาก ก็ต้องทำใจ น้ำตกสามหลั่นจึงเป็นความใฝ่ฝันของใครหลายต่อหลายคน ว่าอยากเห็นภาพน้ำตกที่นี้ในแบบที่มีน้ำตกสักครั้งหนึ่ง เป็นน้ำตกที่มีความยากจริงๆ ที่ต้องรอเวลาที่จะได้เห็นความสวยงามของน้ำตกสามหลั่น
ทริปนี้เราเช็คเจ้าหน้าที่ว่าที่น้ำตกสามหลั่นมีน้ำ สร้างความมั่นใจด้วยคำยืนยันจากพี่สาระดี ที่ไปเที่ยวก่อน เหมือนช่วยไปสำรวจให้เลย และจุดสุดท้ายของเราเมื่อมาถึงต้องเสียค่าธรรมเนียมเข้าสถานที่ก่อน คนละ 20 บาท เจ้าหน้าที่บอกว่า “ทำไมมาซ่ะเย็นเลย ไปอยู่ไหนกันมา” บอกไปเจ็ดคต ถ่ายเห็ดแชมเปญ เจ้าหน้าที่บอกที่นี่ก็มี แถมน้ำตกเดินเข้าไปแค่ 400 เมตรก็เห็นความสวยแล้ว แหม่นานๆ มีน้ำตกที่เจ้าหน้าที่โปรโมทใหญ่ เลย 555… เดินเข้ามาถึง คุณเต บอก eyejung เดินผ่านไปได้ยังไง เจอเห็ดแชมเปญก่อใหญ่มาก เลยกลายเป็นจุดสกัดทุกคนที่ผ่าน ที่นี่ก็มีเห็ดแชมเปญเยอะไม่แพ้เจ็ดคตเหมือนกัน พี่อั๋นบอก มารอบนี้ผมยังไม่เห็นน้ำตกเลย เพราะนั่งปั้นมุมเห็ดแชมเปญจนหมดเวลา
รอคิวถ่ายเห็ดแชมเปญไม่ไหว ก็เดินไปน้ำตก รอบนี้มีน้ำจริง แต่น้อยกว่าตอนที่พี่สาระดีมาเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ห่างแค่อาทิตย์เดียวน้ำเหลือนิดเดียว ชั้นแรกจะเห็นถึงความสมบูรณ์ที่สุด จุดนี้หลายคนเลยปักหลักอยู่กัน พี่ป้อน น้าชิต ลงทุนปีนลงไปแช่น้ำ เพื่อสร้างสรรค์มุมภาพ ส่วน eyejung ปักหลักอยู่ชั้นสอง จนพวกที่อยู่ชั้นหนึ่งบ่น ยืนบังมุมไม่ไปไหนเลย 555.. ก็มุมมันสวยอะเนอะ ใกล้หมดเวลา ออกมายังเจอบางกลุ่มยังอยู่กับเห็ดแชมเปญ ก็ทริปนี้เขาเป็นนางเอกของทริปเรานี้เนอะ ออกมาเจออีกกลุ่มกำลังรุมล้อมอะไรกันอยู่ ว่าแล้วก็ไปสุมหัวกับเขาบ้าง….เจ้าหนอนเขียวตัวอ้วนกลม หันหน้าตรงเป็นแบบให้พวกเราถ่ายภาพแบบไม่ขยับไปไหนเลย จบทริปอำลาธรรมชาติรอบๆ ตัว และทริปนี้เป็นอีกทริปท่องเที่ยวถ่ายภาพ ที่ครบรส โดยเฉพาะสาย Macro ที่จะได้เปิดโลกในอีกแบบหนึ่งที่ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อนกับเจ้าสิ่งเล็กๆ รอบๆ ตัวเรา เจอกันอีกครั้งทริปหน้าที่เราจะพาไปลุย และจะแปลงร่างเป็นช่างภาพสงครามกัน รอลุ้นว่ามันจะโหดแค่ไหน Bye…eyejung