เรื่อง : eyejung, ภาพ : ทีม Camerart

บทความนี้มาจาก Camerart Magazine ฉบับ 242/2017 Novenber

สนับสนุนโดย

เข้าสู่ปลายปี กิจกรรมด้านการถ่ายภาพกับมาคักคึกอีกครั้งหลังจากช่วงฤดูฝนที่หลายคนจะหงอยเหงา ประสบปัญหาน้ำท่วมในหลายจังหวัด แม้จะไม่หนักเท่าปี 2554 แต่ก็กินเวลาน้ำท่วมยาวนานกว่า 5 เดือน ทำให้คนไม่มีกะจิตกะใจอยากไปไหน  ยิ่งช่วงที่ผ่านมาเป็นช่วง พระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ที่ประชาชนชาวไทยในหลายๆ จังหวัดเดินทางเข้าสู่สนามหลวง เพื่อขอน้อมส่งเสด็จพระองค์สู่สวรรคาลัย จนกลายเป็นภาพประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ และทางกองบรรณาธิการนิตยสาร CAMERART ได้เป็นส่วนหนึ่งในการบันทึกภาพประวัติศาสตร์ครั้งนี้ด้วย ซึ่งนำทีมโดยอาจารย์นพดลของเรานั้นเอง จบภาระกิจการเก็บภาพ ริ้วขบวนพระบรมราชอิสริยยศในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ทาง CAMERART ภารกิจต่อทันที่ กับการอบรมถ่ายภาพ หัวข้อวัดแสง ซึ่งเป็นรอบสุดท้ายของปีนี้ด้วย รอบนี้ผู้เข้าอบรมคึกคักเป็นพิเศษ และให้ความสนใจเป็นพิเศษ เลยเลิกเลทกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา

อบรมกันไปแล้ว ได้เวลาออกทริปถ่ายภาพกันเสียที หลังจากห่างหายทริปไปเกือบสองเดือน ทริปนี้เราเลือกไปจังหวัดฉะเชิงเทราเป็นจังหวัดปิดท้ายของการเก็บคะแนนประกวดภาพประจำทริปด้วย นัดเจอกันหกโมงเช้าที่โอสถศาลา คนมากันครบแบบตรงเวลามาก พอ 7 โมงกว่าๆ แวะรับจุดที่ 2 The Nice พระรามเก้า แล้วเราก็มุ่งหน้าสู่จังหวัดฉะเชิงเทรา กับจุดแรกที่เราจะแวะ ตลาดคลองสวน หลังจากที่ห่างหายไปนาน ตั้งแต่แป๊ะหลีเสียชีวิต เราก็ไม่ได้ไปตลาดคลองสวนอีกเลย แป๊ะหลี ถือว่าเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของตลาดคลองสวนอีกด้วย  

ตลาดคลองสวนเป็นตลาดโบราณกว่า 100 ปี ของที่ขายในตลาด ส่วนใหญ่จะเป็นของที่เราไม่ค่อยได้เห็นในตลาดทั่วไป แต่เป็นของที่เราคุ้นเคย เมื่อสมัยเรายังเด็กๆ บอกไปแล้วเหมือนแก่มากเลยเนอะ 555.. อย่างเช่น หมากฝรั่งที่เป็นรูปบุหรี่ ตราแมว ขนมโก๋ ยำยำ ช้างน้อย ขนมไม้ กลายเป็นทริปย้อนวันวานของใครหลายคน ร่วมทั้ง eyejung ด้วย อิอิ… นอกจากของโบราณแล้ว มาตลาดคลองสวนต้องมากิน “ก๋วยเตี๋ยวหมูร้านนายไช้” ที่อยู่ฝั่งฉะเชิงเทรา เพราะตลาดคลองสวน เป็นจังหวัดที่อยู่ในรอยต่อของ 2 จังหวัด ระหว่าง ฉะเชิงเทรา และสมุทรปราการ มีเพียงสะพานไม้สูงๆ ข้ามแม่น้ำเท่านั้นที่เป็นเขตแดน ทริปนี้รถบัสเราข้ามมาจอดจังหวัดฉะเชิงเทรา พวกเราจึงวางแผนที่จะไปทานอาหารเช้ากันก่อน ซึ่งที่ร้านที่ eyejung หมายตาไว้คือร้านก๋วยเตี๋ยวหมูนายไช้ ด้วยเอกลักษณ์ เสียงเคาะชาม ป๊อกๆ ของเฮียแก จนต้องหันไปมองและ กลิ่นหอมๆ ของน้ำซุป เป็นร้านที่มาตลาดคลองสวนต้องแวะทาน โดยเฉพาะเมนูก๋วยเตี๋ยวต้มยำ เรียกว่าเป็น Signature ของทางร้านเลยก็ว่าได้ แต่ก็มีเมนูอื่นๆ ให้เลือกทานนะ พวกน้ำใส ขนมจีนน้ำเงี้ยว แต่มาทั้งที่ เราต้องสั่ง เมนูก๋วยเตี๋ยวต้มยำ ซึ่ง  CAMERART  เรียกว่ายกทีมมาปิดร้านเขาเลย และสั่งเหมือนกันแทบจะทุกคน เพื่อเป็นการไม่เสียเวลาแก่การสั่ง แถมราคามิตรภาพ ราวๆ อย่างละ 30-35 บาท เครื่องแน่นมาก ทานกันอิ่มอร่อย ตบท้ายด้วยกาแฟโบราณ ร้านแป๊ะหลี เราต้องข้ามกลับไปยังจังหวัดสมุทรปราการ แม้ว่าแป๊ะหลีจะจากไปแล้ว แต่ร้านกาแฟของแป๊ะหลีก็ยังอยู่ พี่ป้อน เจ้าอั๋น พี่โภช และ eyejung ก็ขอมานั่งชิลๆ จิบกาแฟ เม้าท์มอยกันเรื่อยเปื่อย จนมองดูเวลา อ้าว! ใกล้หมดเวลาแล้วนิ ยังไม่ได้ถ่ายภาพกันเลย มีแต่กินและก็กิน ว่าแล้ว อ.นพ ของเราก็อาสาถ่ายภาพเบื้องหลังให้ แต่เราจะไม่ได้เห็นภาพเล่านั้น เพราะอาจารย์ลืมใส่การ์ด 555… กลายเป็นภาพแหล่งความทรงจำ ฮ่าฮ่าฮ่า…

จากตลาดคลองสวนเราเดินทางมาต่อกันที่วัดปากน้ำโจ้โล้ อ.บางคล้า จ.ฉะเชิงเทรา ความสวยสะดุดตาของวัดนี้คือ พระอุโบสถ จะทาสีทองทั้งหลัง ไม่ว่าจะเป็นภายในหรือภายนอกตัวอุโบสถ เป็นอีกหนึ่งวัด Unseen Thailand ที่ดูมีความอลังการมากๆ มาถึง แดดกำลังเปรี้ยง อาจารย์นพ บอกทุกคน มองดูว่าทิศแสงอยู่ตรงไหน แล้วถ่ายภาพตามทิศแสง จะได้ภาพโบสถ์สีทองที่ตัดกับฟ้าสีน้ำเงิน ที่เหลือก็เดินหามุมกันเอาเองเลย ใครชอบแบบไหนสร้างสรรค์กันเต็มที่ ส่วน eyejung หันไปเห็นมะพร้าวน้ำหอม ลูกละ 10 บาท ซึ่งงานนี้พลาดไม่ได้ นี่ถ้าไม่ติดว่า eyejung เฉาะมะพร้าวไม่เป็น คงได้ขนกลับมาด้วย ทริปนี้เลยได้แค่ทานที่วัด และนอกจากจะมีมะพร้าวขาย ยังมีของกินอื่นๆ อีกมากมาย ทริปนี้ทุกจุดที่แวะถ่ายภาพมีแต่รายล้อมด้วยตลาดของกิน ซึ่งทำลายสมาธิ ของการถ่ายภาพเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะ eyejung แทบไม่ได้กดชัตเตอร์เลย นอกจากเดินกินกันแบบชิลๆ แล้ว ยังหอบหิ้วขึ้นรถกันมาคนละถุงสองถุงพอ eyejung เดินขึ้นรถไปเช็คคน ก็หยิบยืนให้ช่วยทานอีก งานนี้ไม่มีปฏิเสธอยู่แล้ว เพราะกลัวทุกคนจะเสียใจ 555…

วัดปากน้ำโจ้โล้ นอกจากจะมีมุมให้เลือกเก็บภาพมากมายแล้ว โฆษกประจำวัด ก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน เหมือนเป็นนักถ่ายภาพ คอยแนะนำมุมว่าควรจะถ่ายมุมไหนบ้างกับนักท่องเที่ยวที่มาเยือน ซึ่งถือว่าเป็นอะไรที่แปลกใหม่ เพราะส่วนใหญ่เราจะเห็นแต่โฆษกวัดเชิญชวนแต่ให้คนร่วมทำบุญ จากวัดปากน้ำโจ้โล้ เดินทางมาต่อที่ อุทยานแห่งชาติพระพิฆเนศองค์ยืน จุดนี่เรียกว่าแวะให้ไหว้ขอพรแล้วกัน คงจะถ่ายภาพได้ไม่สวยเท่าไหร่ในเวลาเที่ยงตรงแบบนี้ เพราะมันย้อนแสงไปหมด แถมร้อนมากด้วย eyejung เลยต้องดับร้อนด้วยไอศกรีมกะทิเย็นๆ อิอิ… กินอีกแล้ว แล้วมานั่งหลบร้อน ดูเจ้าอั๋นเอาโดรนเก็บภาพมุมสูง พระพิฆเนศองค์ยืน ซึ่งก่อนจะเอาขึ้น เจ้าอั๋นก็บอกว่า “พี่สัญญาณมัน มาติดๆ ดับๆ ตั้งแต่วัดปากน้ำโจ้โล้ แล้ว แต่พอมาถึง ที่อุทยานแห่งชาติพระพิฆเนศองค์ยืน มีสัญญาณ” จึงเอาโดรนขึ้นเพื่อเก็บภาพมุมสูง พอเอาขึ้นปุ๊บเจ้าหน้าที่บอกว่าเขาห้ามถ่ายนะคะ ต้องขออนุญาตก่อน ซึ่งอั๋นก็บอกว่า ขออนุญาต เจ้าหน้าที่มาแล้ว แล้วก็กดไปได้ 3 ช็อต หันมาบอก eyejung มันบังคับไม่ได้เลย งานเข้าแล้วสิที่นี่ วิ่งหน้าตั้งตามหาโดรนกันเลยที่เดียว สิ่งแรกที่กลัวคือมันจะตกใส่หัวนักท่องเที่ยว ซึ่งพอเดินตามตำแหน่งใน GPS ที่โดรนจะบินหายไป เป็นบริเวณป่าข้างลานจอดรถ น่าจะไม่หล่นโดนคน แต่มันล่วงอยู่ในป่า ซึ่งมีคู่น้ำ เหมือนท้องร่องสวน ซึ่งข้ามไปหาไม่ได้ งานนี้ต้องวิ่งหาตัวช่วยเจ้าหน้าที่ที่ดูแล เรื่องที่จอดรถ ให้เขาช่วยหา ซึ่งพอบอกเขาปุ๊บ เขาสามารถบอกได้ทันที่ว่า 4 ใบพัดใช่ไหม สีขาวๆ ล่วงอยู่ประมาณแถวนี้ ซึ่งพวกเราได้แต่พยักหน้าว่ารู้ได้ไง จนพี่เขาบอกว่าฝรั่งชอบมาบินแถวนี้แล้วทำล่วงบ่อยนั้นเอง งานนี้พวกเราได้แต่ฝากความหวังไว้กับพี่ยา เจ้าหน้าที่วัด แล้วเรื่องโดรนตกมันก็กลายเป็นเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาทัน ที่ว่าบินอยู่เหนือเศียรพระพิฆเนศ พี่ๆ หลายคนเลยถามว่าได้ขอท่านหรือยัง พอถามอั๋นบอกว่าไม่ได้ขอ แต่ขอเจ้าหน้าที่แล้ว กลายเป็นว่าที่ตกเพราะไม่ขอนั่นเอง ไสยศาสตร์ก็เริ่มมา แต่ความเป็นจริงแล้ว โดรนตัวเล็กมันอยู่ในระยะที่ควบคุมไม่เกิน 2 กิโลเมตร ซึ่งวันนั้นเท่าที่ดูเกิน 2 กิโลเมตรแน่ๆ มันเลยควบคุมไม่ได้และตกลงมานั่นเอง เหตุผลมันเป็นเช่นนี้แล ถึงเวลาไปยังจุดอื่นกันต่อได้แล้ว

ขึ้นรถปุ๊บ คุณน้องอั๋นของเราก็ซึมลงทันที่ หลังจากร่าเริงมากในตอนเช้า นั่งมองรูปที่บันทึกจากโดรน เรียกว่าเป็นภาพที่มีราคาแพง เพราะภาพนี้ราคามูลค่าสูงถึงสองหมื่นกว่าบาทเลยที่เดียว 555… โอ๋ๆ อย่าเสียใจไปนะ พี่ป้อน บอกว่ามื้อเที่ยงนี่ไม่ต้องเลี้ยงพี่ๆ ละสงสาร สลดอยู่ได้ไม่นาน น้องเราก็เริ่มคิดแผนจะบอกป๊าว่ายังไงดี แถมว่างแผนจะซื้อใหม่ใหญ่กว่าเดิม นี้มันจงใจให้หายหรือเปล่าหว่า!…. จากอุทยานแห่งชาติพระพิฆเนศองค์ยืน ไม่นานเราก็มาถึง ตลาดบ้านใหม่ที่แวะทานอาหารเที่ยง เจอตลาดอีกแล้ว จนพี่สมชายบอกว่าอย่าจัดทริปแบบนี้อีกนะ เพราะว่าแทบไม่ได้ถ่ายภาพกันเลย มีแต่กินแล้วก็กิน 555 แหม่ๆ ก็มันเป็นทริปสุดท้ายแล้ว อยากให้ทุกคน ชิลๆ Relax กันบ้าง แต่สำหรับ eyejung Relax ทุกทริปเลยแหละ แฮะแฮะ… ถึงตลาดบ้านใหม่นัดหมายเวลา แต่คุณณฤทธิ์ มีเหตุต้องขอตัวกลับก่อน เพราะแฟนเข้าโรงพยาบาลกะทันหัน แอบส่งใจช่วย ให้ปลอดภัยนะคะ ส่งคุณณฤทธิ์ กลับเรียบร้อย ได้เวลาแก็งค์ก๊วน Camerart เดินทอดน่องท่องตลาดบ้านใหม่กันแย้วววพวกเรา เดินเข้าตลาดบ้านใหม่ ร้านที่เราวางแผนไว้ ก๋วยเตี๋ยวเรือต่อชาม แต่ eyejung เจอร้าน ร้านก๋วยเตี๋ยวหมูโบราณ ตลาดบ้านใหม่ เลยเปลี่ยนใจแวะร้านนี้ เพราะว่าร้านนี้ วิวดี บรรยากาศงาม นั่งติดริมน้ำอากาศดีมาก เดินเข้ามาในร้านปุ๊บจับจองพื้นที่ จากที่ลงรถสลายตัวกันหมด แต่พอถึงร้านอาหารก็มารวมตัวกันอย่างไม่ต้องนัดหมาย เพื่อเป็นการไม่ให้เสียเวลารีบสั่ง เพราะว่าเรายังมีคิวช็อปปิ้งต่ออีก ก๋วยเตี๋ยวมาถึงปุ๊บ แทบอยากยกคืน คือน้ำซุปไม่มีความร้อนเลย ลวกเส้นก็ไม่สุก ความอร่อยเทียบร้านที่ตลาดคลองสวนไม่ได้เลย รีบวางช้อนตะเกียบ แล้วภารกิจเปลี่ยนที่ทานก็เริ่มต้นขึ้น ไปนั่งทานต่อที่ร้านก๋วยเตี๋ยวต่อชาม และขนมที่ซื้อมาระหว่างทางอีกมากมาย โดยเฉพาะ ร้านกุยช่าย จิระพร ร้านขนมกุยช่ายแป้งบาง ทำสดใหม่ แบบว่าให้เห็นขั้นตอนการทำ กันเลยที่เดียว ซึ่งสมาชิก CAMERART จะชอบไปเก็บภาพมาก แล้วเจ้าของร้านก็จะใจดีมาก อนุญาตให้ถ่ายภาพแล้ว แถมแพคใส่กล่องมาให้พวกเราได้แบ่งกันทานอีก ใจดีที่สุด เป็นอีกร้านที่มาตลาดบ้านใหม่ต้องแวะซื้อเป็นของฝาก ทานก๋วยเตี๋ยว พร้อมขนมติดไม้ติดมือกลับมาอีกมากมาย เรียกทริปนี้เดินจนพุงกลางกลับมา 

จากตลาดบ้านใหม่เราก็มาจุดสุดท้ายของจังหวัดฉะเชิงเทราแต่ยังไม่ได้เป็นจุดสุดท้ายของทริปนี้ มาฉะเชิงเทราไม่ได้มากราบขอพรวัดหลวงพ่อโสธร ถือว่ามาไม่ถึง ซึ่งทริป  CAMERART ก็เช่น ด้วยว่าเป็นทริปส่งท้ายปลายปี ก็อยากให้ทุกท่านโชคดี ไหว้พระขอพรเพื่อความเป็นสิริมงคล โดยเฉพาะผู้ที่มีคะแนนขับเคี่ยวในโค้งสุดท้ายของการประกวดภาพประจำทริปด้วย ยังอาจจะอยากพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่ที่ลงรถปุ๊บแล้วชวน eyejung ไหว้พระหลวงพ่อโสธรกัน คือเจ้าอั๋น อาจจะไปไหว้ขอพรให้เจ้าหน้าที่ช่วยหาโดรนให้เจอ สาธุ..สาธุ ไหว้พระขอพรกันแล้ว เดินถ่ายภาพกันต่อ วัดหลวงพ่อโสธรเป็นจุดหนึ่งที่ตั้งพระเมรุจำลองใน พิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร  หลายท่านวันจริงไม่สามารถเข้าถึงได้วันนี้ เลยถือโอกาสไปเก็บภาพบันทึกเป็นภาพประวัติศาสตร์แหล่งความทรงจำ ไหว้พระขอพรกันเรียบร้อยแล้ว เดินทางต่อไปยังจุดสุดท้ายของทริปนี้

จุดสุดท้ายของทริปนี้ สถานที่ตากอากาศบางปู ซึ่งเริ่มเปิดฤดูการท่องเที่ยวแล้ว ก่อนมาเราทำการเช็คกับเจ้าหน้าที่แล้วว่านกนางนวลที่จะอพยพเข้ามาเดินทางมาถึงหรือยัง ซึ่งใครจะไปเที่ยวบางปูถ่ายภาพนกนางนวล จะสามารถถ่ายได้ตั้งแต่ช่วงกลางเดือนตุลาคม ที่นกจะเริ่มมา และยาวไปจนถึงปลายเดือนเมษายน แล้วนกจะเริ่มบินกลับ เราไปช่วงปลายเดือนตุลา ถือว่านกเริ่มมาเยอะแล้ว ก่อนลงรถไป อาจารย์นพของเราก็ ขึ้นมาแนะนำ สำหรับมือใหม่ที่ไม่เคยถ่ายภาพนกกัน และใครถ่ายไม่ได้เดินประกบอาจารย์ไว้เลย ส่วน eyejung วันนี้ขอไม่เก็บภาพ จะทำตัวเป็นนางงาม ใจบุญให้อาหารนก แต่จริงๆ ที่ไม่ถ่ายเพราะปวดหัวนกบินเยอะแยะกันไปหมด ผู้คนหลั่งไหลมาเที่ยวบางปู การค้าขายกากหมู หนังไก่ ช่วงนี้ ถือว่าเป็นนาทีทองเลยที่เดียว และวันนี้ฟ้าก็เป็นใจ หลายท่านได้ภาพแสงเย็นงามๆ กลับไป และส่งทุกท่านกลับเรียบร้อย เราก็ยังไม่หยุดกิน มาปิดท้ายทริปอย่างสวยงามด้วยหมูกระทะ 555 เป็นทริปที่ฟินที่สุดของปีนี้เลย

จบทริปปีนี้กันไปแล้ว ฉบับหน้าเราจะได้ทราบกันแล้วว่าใครจะได้รางวัลใหญ่ประกวดภาพประจำทริป และภารกิจเพื่อชาติของ CAMERART ยังมีอยู่ต่อเนื่อง กับการส่งทีมช่างภาพเพื่อบันทึกภาพงาน มหกรรมทางเรือนานาชาติ เนื่องในโอกาสครบรอบ 50 ปี การก่อตั้งอาเซียน ที่จะมีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 13-22 พฤศจิกายน 2560 ณ บริเวณพื้นที่เมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี และพื้นที่อ่าวไทยตอนบน ซึ่งจะมีประเทศอาเซียนและกองทัพเรือมิตรประเทศ นอกอาเซียนรวมมากกว่า 30 ประเทศ จัดส่งเรือรบและอากาศยาน เข้าร่วมกิจกรรม มากกว่า 40 ลำ ซึ่งถือว่าเป็นอีกหนึ่งงานในหน้าประวัติศาสตร์ของไทย ที่คนไทยไม่ควรพลาดไปร่วมบันทึกภาพประวัติศาสตร์กัน Bye…eyejung