เรื่อง : eyejung, ภาพทีม : CAMERART
บทความนี้มาจาก Camerart Magazine ฉบับ 244/2018 January
ทริปนอนนับดาว เคล้าสายหมอก ชื่อทริปมันช่างดูโรแมนติกเสียนี่กระไร… ยิ่งทริปนี้หลายคนควงคู่กันมาเปิดตัว เพิ่มความหวานให้ทริปเราเข้าไปอีก อิอิ.. เห็นแล้วก็ได้แต่สุขใจและยินดีกับทุกคู่รัก
ทริปนี้เราออกเดินทาง 4 วัน 3 คืน จุดนัดหมายปั๊ม ปตท. ตรงข้ามหอการค้า นัดหมายออกเดินทางกัน 21.00 น. รอบนี้เราจะขึ้นโทเวย์ เพื่อหนีรถติด เพราะช่วงเทศกาล คนน่าจะออกต่างจังหวัดกันเยอะ แวะรับ คุณเก้า วรพต ที่เรียกว่าหายหน้าหายตาไปนานมาก ได้กลับมาร่วมทริปกันอีกครั้ง ดีใจที่ยังคิดถึง CAMERART เหมือนเดิม รับสมาชิกในทีมครบแล้ว ออกเดินทาง มุ่งหน้าสู่อำเภอนครชุม ทริปนี้เราจะไปพิชิต เขาโปกโล้น จ.พิษณุโลก กัน และบอกกล่าวกันไว้เนิ่นๆ ว่าทริปนี้ต้องคนอึดเท่านั้น เพราะเราต้องเดินขึ้นเขาระยะทางเกือบ 2 กิโลเมตร ซึ่งก่อนไปเราได้ทำการติดต่อไกด์ทองถิ่นอย่าง…น้องตั้ม ไว้แล้ว สอบถาม น้องตั้ม บอกว่าเดินไม่ยากชิลๆ น้องเดินขึ้นถึงเพียง 30 นาที แบบเดินไปเรื่อยๆ แต่ทริปเรานี้สิ ผู้ร่วมทริปส่วนใหญ่ จะเป็นวัย สว. โดยเฉพาะ อ.นพ ที่อายุอานามก็เกือบจะ 70 ปี แล้ว แต่ใจนี้ แค่ 17 นะจ้ะ อิอิ… แต่จะเดินไหวไหมละเนี่ย….ก่อนเดินทางบอกทุกท่านเตรียมไฟฉายให้พร้อม เราทำเวลากันดีมาก เดินทางถึง วัดนาลานข้าว จุดที่ไกด์ท้องถิ่น น้องตั้ม ของเราบอกให้เอารถไปจอด เพื่อทำการเปลี่ยนรถเป็นรถกระบะ ทริปนี้ต้องบอกว่าเป็นการเดินทางที่ต้องลุ้นมาก เพราะว่าครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เราจะมา เขาโปกโล้น ถ้าใครเคยไปกับ CAMERART จะเป็นที่รู้กันดีว่าเรื่องหลงทางเป็นของคู่กันกับ CAMERART แม้ว่าเราจะไปหลายรอบเราก็ยังหลงกันได้ 555….
เราเดินทางมาถึงวัดนาล้านข้าว ประมาณตีสี่กว่าๆ ด้วยความไม่แน่ใจว่าใช่จุดนัดหมายไหม เพราะมันมืดมาก แถมนัดที่วัด มันดูช่างวังเวง….แต่พอถึงวัดปุ๊บ ได้รับการต้อนรับอย่างเกรียวกราวด้วยเสียงสุนัขนับ 10 ตัว ที่อาศัยอยู่ที่วัด บรรยากาศมันทำให้คิดไปไกลเหมือนกันนะเนี่ย….บรื้ออออออ…จนต้องรีบโทรหา น้องตั้ม ไกด์ท้องถิ่นของเรา ที่วันนี้จะพาเราไปพิชิต เขาโปกโล้น พอ น้องตั้ม มาถึง เตรียมอาหารที่เราสั่งไว้แบบง่ายๆ ข้าวเหนียวหมูทอด และน้ำดื่ม เพื่อจะขึ้นไปทานที่บนเขาโปกโล้น ชมทะเลหมอก เป็นภาพที่เราคิดเอาไว้ แต่ความเป็นจริง มันไม่ได้เป็นอย่างที่คิด เพราะธรรมชาติที่เรากะเกณฑ์อะไรไม่ได้เลย น้องตั้ม บอกวันนี้หมอกน้อยมากกกกก…..ไม่เหมือนเมื่อวานเลย เอาแล้วไง แล้วที่เราต้องเดินขึ้นไป 2 กิโล เนี่ยจะขึ้นไปดูอะไร…ฮือ ฮือ ฮือ…พูดแล้วก็อยากจะร้องไห้ เริ่มออกเดินตีห้าครึ่งช่วงเดินขึ้นไปทางเริ่มวิบากนิดหน่อย แต่ด้วยทริปเรา สว. เยอะ จากวิบากนิดหน่อยมันก็เป็นวิบากเยอะ 5555…จากความหวังที่ตั้งใจไว้ว่าเราจะใช้เวลาเดินประมาณการว่าจะเดินใช้ขึ้นเวลาสักหนึ่งชั่วโมง แต่มันก็ยาวนานกว่าที่คิด แม้ทางจะดูเหมือนสาหัสไปหน่อย แต่ อ.นพ ของเราก็ขึ้นมาถึงทันเวลา แต่คนที่ขอสละสิทธิ คุณบุญชาติ เพราะขึ้นไม่ไหวจริงๆ น้องตั้ม ไกด์ของเราเลยแก้ปัญหาด้วยการเอารถไปส่งจุดชมวิว ให้ได้เก็บความประทับใจ เดินขึ้นเขาโปกโล้น ทันฟ้าเปลี่ยนสีอย่างหวุดหวิด จนทุกคนลืมเรื่องเหนื่อยไปเลย โดยเฉพาะ พี่น้อง ของเรา ที่ต้องเร่งสปีดในการเดิน เพราะต้องตามแก๊งค์วัยรุ่นให้ทัน ซึ่งก็สามารถทำได้แม้จะแอบบ่น eyejung ว่าพามาสมบุกสมบันไปหน่อย…
ตั้งกล้องถ่ายภาพกันไปเรื่อยจนลืมมองว่า อ.นพ….หายไปไหน เอาแล้วสิ เริ่มเป็นห่วงไปเป็นลมอยู่ตรงไหนในป่าหรือป่าว โชคดีที่มีสัญญาณโทรศัพท์ เลยสามารถเช็คได้ อ.นพ แอบไปตั้งกล้องอยู่คนเดียวอีกจุดหนึ่ง เรียกว่าอินดี้สุดๆ ไปเลย 555… ช่วงถ่ายภาพเขาโปกโล้น เรียกว่าฟินสุดๆ เราได้ยินทั้งเสียงวัวร้อง ไก่ขัน เสียงพระสวดมนต์ทำวัดเช้า นี่มันเข้ากับวิถีชนบทสุดๆ เหมือนเป็นการเบรกตัวเอง ลืมเรื่องเร่งรีบในวิถีเมืองชั่วขณะ นั่งกินข้าวเหนียวหมูทอดชมวิวหลักล้าน แม้หมูมันจะเหนียวมาก จนเคียวกันไม่ออก แต่แค่ชมวิวก็ถือว่าคุ้มค่ามาก ลงจากเขาโปกโล้น อำลาไกด์หนุ่มของเราที่ดูแลเราตลอดทริปน้องตั้ม คงได้มีโอกาสกลับมาแก้มือกับเขาโปกโล้นในรอบที่จะได้เห็นทะเลหมอกแบบเต็มๆ ใครอยากไปเที่ยวเขาโปกโล้นติดต่อน้องตั้ม ในการนำทางได้ที่เบอร์ 09-5815-3968….
จากเขาโปกโล้นเรามุ่งหน้าเดินทางสู่ ดอยอินทนนท์ วันนี้เราจะขึ้นไปสัมผัสไอหนาวและไอหมอก กันที่ดอยอินทนนท์ หลับไปหลายตื่นเราก็ยังไม่ถึง แสงตะวันยั่วยวนทอประกายลำแสงลอดเมฆลงมา ระหว่างทางขึ้นดอยอินทนนท์ อ.นพ โทรมาถามเลยว่าเราจะทันแสงเย็นไหม ซึ่งงานนี้ต้องพึ่งพลขับแล้วว่าจะทำเวลา ขึ้นไปเก็บแสงเย็นที่ พระมหาธาตุนภเมทนีดล-นภพลภูมิสิริ เรียกว่าเป็นอีกจุดที่เป็นสัญญาลักษณ์ของดอยอินทนนท์ โดยเฉพาะคนที่ชอบถ่ายทางช้างเผือก จะเฝ้ารอกิจกรรม ถ่ายภาพดาราศาสตร์ “Astrophotography Marathon” ของสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ ที่จะจัดขึ้นในช่วงเริ่มต้นฤดูของทางช้างเผือก ซึ่งในพระมหาธาตุนภเมทนีดล-นภพลภูมิสิริ จะสามารถมองเห็นทางช้างเผือกด้วยตาเปล่า หลายคนถึงต้องเฝ้ารอเพื่อที่จะลงทะเบียนให้ทัน เพราะหาโอกาสยากมากที่จะได้เข้าไปอยู่ใน พระมหาธาตุนภเมทนีดล-นภพลภูมิสิริ ได้ตลอดทั้งคืน แต่รอบนี้เราก็โชคดี แม้จะมาถึง 5 โมงกว่าๆ เรียกว่าวิ่งแข่งกับพระอาทิตย์ตกกันเลย แต่ทางเจ้าหน้าที่อนุญาตให้เราอยู่ได้ถึง 1 ทุ่ม ได้เก็บแสงเย็นกับสัมผัสอากาศที่หนาวเย็น ของดอยอินทนนท์ ตะวันลับฟ้าไปแล้ว วันแรกของการเดินทางเราเก็บได้แค่แสงเย็นและแสงเช้า
ถึงเวลาเดินทางกลับที่พัก ออกจากพระธาตุเดินทางลงยังที่ทำการอุทยาน เพื่อเข้าที่พักและทานอาหารเย็น วางแผนสำหรับวันพรุ่งนี้ ว่าเราต้องตัด ผาช่อ ที่อยู่ในอุทยานแม่วาง ถ้าจะไปให้ทันแสงเย็น ที่อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย เมื่อลงความเห็นเราเลือกที่จะไปเก็บแสงเย็นที่อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย ทานอาหารเสร็จ เตรียมตัวพักผ่อน แต่ทุกอย่างก็ต้องพังทลายลง เพราะว่าเจ้าหน้าที่บอกว่าที่พักเราอยู่เลยจุดตรวจที่ 2 ไปอีก อยู่ในโซนน้ำตกแม่ปาน-ห้วยทรายเหลือง ห่างจากที่ทำการอุทยานแห่งชาติ ประมาณ 15 กิโลเมตร….
กลับขึ้นรถมาแจ้งว่าเราเข้าใจผิดว่าที่พักอยู่ตรงนี้ต้องกลับขึ้นดอยไปอีก 15 กิโลเมตร ซึ่งเจ้าหน้าที่บอกเราแบบนั้น แต่ใน GPS บอกว่า 28 กิโลเมตร ถึงด่านตรวจที่สองถามเจ้าหน้าที่อีกครั้งเพื่อความแน่ใจ เจ้าหน้าที่บอกอีก 8 กิโลเมตร แต่พอเข้าเส้นทางค่ายพัก ป้ายบอกทางก็ไม่มี แล้วก็เหมือนขับรถลงเขาตลอด สองข้างทางมืดมิด ไม่มีแต่ไฟฟ้า eyejung เองก็เริ่มใจเสีย มันจะมีที่พักอยู่ในนี้จริงๆ หรือ สัญญาณโทรศัพท์ไม่มี เรียกว่างานนี้ถึงกับต้องนั่งภาวนา แล้วเริ่มคิดว่าถ้าเราหาที่พักไม่เจอจะแก้ปัญหาอย่างไงดี เพราะมันเริ่มดึกแล้ว ทุกคนก็เพลียกันมากแล้ว คนขับเรายิ่งไม่คุ้นเคยทางถึงกับใจฝ่อ เรียกว่า นั่งลุ้นกันตลอดทางไม่มีใครกล้าหลับแม้จะง่วงสักแค่ไหน จนแล้วจนรอดด้วยความไม่แน่ใจเลยต้องขอจอดรถมาดูเพราะเจอแสงไฟฟ้าของหน่วยจัดการป่าต้นน้ำ อะไรสักอย่างระหว่างทาง แต่พอไปดูเส้นทางแล้ว รถตู้ไม่สามารถลงได้ และก็ไม่ใช่ชื่อที่เจ้าหน้าที่ของอุทยานบอกเราด้วย ความหวังเรื่องที่พักพังทลายลงไปอีก…
คำแสน…เลยบอกลองขับไปดูอีก แต่แล้วเหมือนสวรรค์ทรงโปรด เราเจอคนพื้นที่จอดรถเพื่อทำธุระพอดี เลยได้โอกาสถาม ซึ่งคนพื้นที่เองก็บอกไม่รู้เหมือนกันว่ามีที่พักไหม แต่จุดที่เราจะไปยังไม่ถึงต้องรถไปอีก 2 กิโลเมตร เล่นเอาความหวังเรื่องที่พักพังทลายไปอีกรอบ แถมคนที่บอกทางก็มีกลิ่นแอลกอฮอล์หึ่งเลย จะเชื่อได้ไหมเนี่ย แต่คนพื้นที่ก็เลยอาสาว่าอย่างงั้นขับตามเขาไป รู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอกเลย ความหวังของเราแม้จะริบหรี่ แต่ก็ยังมีความหวัง และคิดตลอดทางว่าทำไมต้องมาสร้างที่พักอยู่ไกลขนาดนี้ คนพื้นที่ส่งเราหน้าปากทาง เริ่มเจอกับความมืดอีกครั้งแต่พอขับเข้าไปสักพักเริ่มเจอแสงไฟ ใจชื้นขึ้นมาทันที่ เจอเจ้าหน้าที่ออกมาชี้แจ้งว่าบ้านพักเราอยู่โซนไหน แล้วเราต้องตกลงกันใหม่ว่าพรุ่งนี้ เราจะเก็บของอกจากที่พักในเวลาตีสี่ครึ่งเลย คงจะไม่ย้อนกลับมาที่พักอีกแล้ว เพราะระยะทางมันไกลเกินกว่าจะย้อนกลับ
เข้าที่พักเตรียมตัวอาบน้ำ ต้องบอกว่ามันเป็นอะไรที่ยากลำบากสำหรับทุกคนมาก เพราะ…น้ำเย็นมาก…แต่เราก็ต้องอาบ เพราะพรุ่งนี้เช้าเราจะไม่อาบน้ำกันแล้ว งานนี้ eyejung ขอทำใจอยู่นาน และด้วยสเต็ปการอาบน้ำที่กลัวน้ำจะโดนตัว เลยใช้เวลาในการอาบน้ำนานมาก…555.. งงละซี…อาบน้ำอย่างไงกลัวน้ำโดนตัว…ก็อาบที่ละส่วน และ…ให้ตัวโดนน้ำเป็นจุดสุดท้าย เรียกว่ากว่าจะเสร็จทนหนาวนานกว่ารีบอาบอีก นอนยังไม่ทันไรเราก็ตื่นเพื่อเตรียมตัวไปชมทะเลหมอก และ มาทานมาม่าคัพ เพราะ eyejung เอากาน้ำร้อนไปด้วย อากาศเย็นๆ แบบนี้ ทานมาม่า กาแฟร้อนๆ เรียกความอร่อยกว่าปกติขึ้นมาเลย
เราเดินทางมาถึงจุดชมวิว กม. ที่ 42 รถเริ่มแน่น นักท่องเที่ยวเริ่มทะยอยมา ส่วนใครอยากไปเดินเส้นทางศึกษาธรรมชาติ กิ่วแม่ปาน ก็เตรียมตัว งานนี้มีแค่ คุณเก้า น้องแตน พี่แหม่ม และ คุณวโรธร ขอไปเดินเส้นทางศึกษาธรรมชาติกิ่วแม่ปานรอบสั้น 1 กิโลเมตร ส่วนคนอื่นๆ ขอปักหลักตรงจุดชมวิว และวันนี้เราก็พลาดเห็นทะเลหมอกไปอย่างน่าเสียดาย แต่ก่อนวันที่เรามาหมอกเต็ม แต่วันนี้หมอกดันน้อย เสียดายเป็นยิ่งหนัก แต่ยังได้แสงพระอาทิตย์ จากนั้นเราเดินทางกันต่อไป ดินแดนมหัศจรรย์…อ่างกา…เส้นทางศึกษาธรรมชาติ อยู่บนดอยอินทนนท์ เดินเข้าไปสัมผัสอากาศอันหนาวเย็นแล้ว เรายังเหมือนเดินหลุดเข้าไปอีกมิติด้วย สะพานไม้ทอดยาวกลมกลืนกับสภาพพื้นที่ ด้วยความงามธรรมชาติของผืนป่าในพื้นที่อ่างกา ที่มีลักษณะพิเศษไม่เหมือนใคร ผืนป่าถูกปกคลุมไปด้วย มอส เฟิน ต้นไม้ใหญ่น้อยจำนวนมากที่มีลักษณะต่างไปจากที่อื่น เพราะด้วยความชื้นสูงและอากาศหนาวเหน็บบนยอดดอยทำให้ มอส ขึ้นปกคลุมแน่นทึบไปหมด เกิดเป็นต้นไม้ลักษณะพิเศษที่หลายๆคนเรียกมันว่า “ต้นไม้ใส่เสื้อผ้า” เพราะมีมอสเป็นเสื้อกำมะหยี่สีเขียวชั้นดี ด้วยลักษณะของผืนป่าแบบนี้ อ่างกาหลวง จึงได้รับขนานนามว่า “ป่าดึกดำบรรพ์” ที่ถือเป็นอีกหนึ่งความน่าทึ่ง ในความมหัศจรรย์ของธรรมชาติ ซึ่งหาชมได้ยากมากในเมืองไทย เราเดินดื่มด่ำกับความงดงามจนลืมเวลา มากี่ครั้งก็ไม่เคยเบื่อ แต่โปรแกรมเรายังต้องเดินทางกันไปต่อที่อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย ซึ่งเช็ค GPS แล้วมันจวนเจียนแสงเย็นจริงๆ
ลงจากดอยเจอรถติดยาวเป็นชั่วโมงเรียกว่าให้ได้ลุ้นอีกแล้ว แต่เราก็เดินทางมาถึง อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย ได้ทันพระอาทิตย์ตก แถมวันนี้โชคดีที่ทาง อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย มีงานเลยเปิดให้เขาชมจนถึง 21.00 น. ความหวังที่อยากจะถ่ายภาพดาวที่นี่ก็เป็นจริง แถมในงานมีตลาดนัดถ่ายแสงเย็นไปทานข้าวไป แล้วมานั่งถ่ายดาวกันต่อ ซึ่งครั้งนี้ eyejung จะถ่าย Time-lapse เรียกว่าเป็นครั้งแรกเลย หลายคนที่ไม่ได้ถ่ายดาวมานาน ครั้งนี้ อ.นพ เลยเหมือนทบทวนความรู้ให้ทุกคนอีกครั้ง และครั้งนี่ eyejung ก็ถือว่าประสบความสำเร็จด้วยดี
กลางคืนถ่ายภาพดาวไปแล้ว เช้ามาเราก็ออกล่าแสงเช้ากันต่อ เจ้าหน้าที่อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย แนะนำว่าลองไปเก็บภาพจุดมุมสูงที่ วัดสะพานหิน ดูสิ เช้านี้เราเลยออกเดินทางเพื่อไปดูมุมวัดสะพานหินก่อน ถ้าไม่เวิร์คจะกลับมาถ่ายแสงเช้าที่อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย พอไปถึงด้วยทางเดินเป็นทางเดินหินขึ้นเขาระยะทางประมาณ 300 เมตร eyejung และ พี่สาระดี เลยขอไปดูมุมก่อน พอไปดู พี่สาระดีบอกเอามุมนี้ก็ดีนะ เพราะว่าเรายังไม่เคยถ่ายภาพจุดนี้ งานนี้ห่วงแต่ คุณบุญชาติ ว่าจะเดินไหวไหม แต่ด้วยทริปเราเหมือนคนกันเอง มีอะไรก็ช่วยเหลือกัน งานนี้ eyejung และพี่สาระดี รับหน้าที่เป็นนางฟ้า และเทวดา ช่วยกันประคับประคอง คุณบุญชาติ ขึ้นมาเก็บภาพได้สำเร็จ ถ่ายเสร็จก็ช่วยกันประคองกันลงมา จน พี่น้อง บอกว่าไปมาหลายที่ไม่มีใครเขาดูแลดีเท่า CAMERART งานนี้ eyejung หน้าบานเลยที่เดียว แม้จะหน้าบานปกติอยู่แล้ว เพราะอ้วนมาก อิอิ…
จากวัดสะพานหิน แวะเก็บภาพ วัดศรีชุม ตัววัดเป็นโบราณสถานตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ นอกกำแพงเมืองวัดนี้เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางมารวิชัยองค์ใหญ่ซึ่งมีนามว่า “พระอจนะ” วัดศรีชุม เป็นอีกหนึ่งศาสนสถานที่สำคัญมากของสุโขทัย เป็นโบราณสถานอันงดงามอลังการ แสดงให้เห็นอดีตอันรุ่งโรจน์ของเมืองสุโขทัย การเก็บภาพ “พระอจนะ” ใครมีเลนส์ฟิตอายต้องบอกว่าได้เปรียบมาก เก็บภาพวัดศรีชุมเรียบร้อยเราก็กลับเข้าที่พัก เพื่อทานอาหารเช้า และเช็คเอาท์ออกจากที่พัก อาหารมีให้เลือก 2 แบบ อเมริกันเบรคฟาสท์ และอาหารไทย แต่อาหารไทยที่ ภาษาไทย รีสอร์ท เขาทำน่ารักมาก เหมือนได้ย้อนวัยกลับไปเป็นเด็กอีกครั้งที่ต้องหิ้วปิ่นโตไปโรงเรียน เพราะเขาทำอาหารใส่ปิ่นโตให้พวกเรา ทานข้าวเสร็จ เช็คเอาท์ออกจากที่พัก เราจะไปเก็บภาพอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยกันต่อ ถ้าจะเที่ยวถ่ายภาพแบบทัวร์ตามใจชอบแนะนำให้เช่าจักรยาน ราคาค่าเช่าตกคันละ 30 บาท แต่ถ้าใครปั่นจักรยานไม่เป็นเขาก็มีรถรางบริการ แต่ eyejung อ.นพ พี่น้อง พี่สาระดี และคุณชิชา ขอปั่นจักรยานแล้วกัน เพราะที่นี่เหมาะกับการปั่นจักรยานมาก บรรยากาศร่มรื่นด้วยต้นไม้ใหญ่ และไม่ต้องระวังเรื่องรถ เพราะทางอุทยานไม่อนุญาตให้เอารถเข้ามาขับด้านในอุทยานแล้ว ทำให้ปลอดภัย ปั่นจักรยานชมโบราณสถาน กันแล้ว เราก็มีคิวไปดูของดีของชาวสุโขทัยกันบ้าง
วันนี้เราจะพาไปดูวิถีชีวิตของชาวสุโขทัยเกี่ยวกับการ “เครื่องสังคโลก” ที่มีความโดดเด่นเป็นอัตลักษณ์เฉพาะตัวของเมืองสุโขทัย ถือได้ว่าเป็นวัฒนธรรมเชิงหัตถศิลป์ ที่มีการสืบทอดตั้งแต่สมัยเมืองสุโขทัยเป็นราชธานี ให้และส่งต่อมาอนุชนคนรุ่นหลัง กลายสภาพจากฝีมือภูมิปัญญาก่อเป็นกิจการธุรกิจของครอบครัว และชุมชนที่สร้างรายได้อย่างมากมายให้กับชาวบ้าน และ วันนี้เราแวะพาทุกคนมาเยี่ยมชม ร้านสุเทพ สังคโลก ยังจัดว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สามารถเรียนรู้ไปได้พร้อมๆ กัน สาวๆ ของเราหลายท่าน ถึงกับขอสร้างผลงาน เพื่อเป็นงานชิ้นเดียวในโลก ซึ่งเรื่องงานศิลปะ eyejung ขอบายเลย ความสามารถไม่ถึงจริงๆ แต่น้องแตน สิจัดเต็ม สามารถดูแบบลายต้นแบบของสุโขทัย แล้วทำการลอกลายได้ แม้จะทำครั้งแรก แต่ฝีมือต้องบอกว่ามีจิตวิญญาณของนักศิลปะ ส่วนพี่โส ตอนแรกก็ประดิดประดอยดีอยู่ พอใกล้เวลาต้องเตรียมตัวกลับ ถึงกับวาดดอกไม้ให้ใหญ่ดอกเดียวเต็มจานเลย 555… จนพี่เขาต้องแก้ให้ อิอิ… เรานั่งยาวอยู่ที่สุเทพ สังคโลก…กันยาว นั่งทานกาแฟ ทานข้าว เพ้นท์ถ้วยกาแฟ เป็นอีกจุดว่าใครมาเที่ยวที่สุโขทัยไม่ควรพลาด กับการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ของจังหวัดสุโขทัย…..Bye…eyejung
น้องตั้ม ไกด์ประจำพื้นที่เขาโปกโล้น 09-5815-3968
เครื่องสังคโลก ของดีเมือง สุโขทัย
พิกัด: 17°00’52.5″N 99°42’31.9″E. Google Map: 17.014580, 99.708867.
203/2 ม.3 ต.เมืองเก่า อ.เมือง จ.สุโขทัย โทรศัพท์: 084 494 8890