เรื่อง+ภาพ : นพดล

บทความนี้มาจาก Camerart Magazine 264/2019 September

CAMERART ฉบับที่แล้วนำเรื่อง ชวนทุกท่านเที่ยวรัสเซีย เปิดทริปด้วย จัตุรัสแดง ที่ มอสโคว์….นำร่องกันไปก่อน ฉบับนี้ ขอนำท่านเดินทางต่อมายัง นครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ซึ่งถือว่าเป็น เมืองใหญ่อันดับที่ 2 ของรัสเซียเลยทีเดียว

จาก มอสโคว์ การเดินทางมายัง นครเซนต์ปีเตอร์เบิร์ก ทางทัวร์ จัดการเดินทางด้วยรถไฟความเร็วสูงของรัสเซีย ที่สะดวกสบายมาก แต่ดูจากความเร็วของรถไฟที่ปรากฏในจอบนขบวนรถในความเห็นผมแล้ว น่าจะเป็นรถไฟความเร็วสูงแบบปานกลาง เนื่องจากมีความเร็วในการเดินทางเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 200 กม./ชั่วโมงเท่านั้น ซึ่งต่างจากรถไฟความเร็วสูงที่ผมเคยขึ้นที่ซีอาน ประเทศจีน ที่เดินทางด้วยความเร็วประมาณ 300 กว่ากิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งเร็วต่างกันมาก

การท่องเที่ยวกับบริษัททัวร์ ต่างจากการท่องเที่ยวด้วยตนเอง ความสะดวกมีมากกว่า ทุกอย่างทัวร์จัดการให้หมด ที่อาจจะไม่ถูกใจนักถ่ายภาพก็คือ ถ้าอยากถ่ายภาพ หนึ่งละเวลามีจำกัด สองในเรื่องของทิศทางแสง หรือ การรอแสงสวยยามพระอาทิตย์ขึ้นหรือพระอาทิตย์ตก ลืมไปได้เลย และประการสุดท้าย การชมสถานที่ต่างๆ นอกจากจะเวลาจำกัดแล้ว จะต้องคอยตามทัวร์ให้ทัน มิฉะนั้นถ้าเกิดการพลัดหลง จะเป็นปัญหาใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบางประเทศอย่างเช่นที่รัสเซีย ที่คนส่วนใหญ่พูดกันไม่รู้เรื่องเลย ภาษาที่ติดตั้งอยู่บนอาคารสถานที่ เกือบทั้งหมดเป็นภาษารัสเซีย ที่อ่านไม่ออกเลย นั่นคือสิ่งที่ต้องเตรียมใจถ้าอยากถ่ายภาพ แต่ไปเที่ยวกับทัวร์ปกติ

ความเข้าใจในเรื่องการถ่ายภาพ คือ ส่วนที่จะช่วยให้เราสามารถได้ภาพงามๆ กลับมาได้ ที่ต้องใช้แน่นอนในการปรับตั้งกล้องตลอดเวลา คือ ความไวแสงในการถ่ายภาพ และค่า White balance ถูกใช้บ่อยมาก เพราะการเที่ยวมีทั้งสภาพแสงภายนอก และภายในอาคารสถานที่ ซึ่งส่วนใหญ่ห้ามใช้แฟลชในการถ่ายภาพ 

เป็นที่น่าสังเกตอย่างหนึ่งในเรื่องของทิศทางแสงก็คือ ถ้าไม่สังเกตจะพบว่าบางสถานที่สภาพแสงไม่อำนวยเสียเลย บางทีย้อนแสงแบบเต็มๆ เลยทีเดียว แต่การท่องเที่ยวชมสถานที่เหล่านี้หลายแห่งพบว่า เป็นการเดินเข้าทางหนึ่ง แต่ยามเดินกลับออกมาเป็นอีกทางหนึ่ง ซึ่งมักจะเป็นฝั่งตรงกันข้ามซึ่งจะพอดีกับสภาพแสงที่เหมาะกับการถ่ายภาพเลยทีเดียว ประสบการณ์ในเรื่องทิศทางของแสง จะช่วยให้ทุกท่านได้ภาพกลับมาครับ

นครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก

นครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ถือว่าเป็นเมืองท่าสำคัญทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของรัสเซีย ตั้งอยู่บนปากแม่น้ำเนวา ริมอ่าวฟินแลนด์ในทะเลบอลติก

พระเจ้าซาปีเตอร์มหาราช ของรัสเซีย เป็นผู้ที่ทรงสร้างเมืองนี้ในปี ค.ศ. 0703 ด้วยเล็งเห็นว่า เป็นจุดที่สามารถเดินทางออกทะเลบอลติกได้ง่าย ทำให้การเดินทางเชื่อมต่อกับยุโรป และประเทศต่างๆ สะดวกมากยิ่งขึ้น ซึ่งในเวลานั้น พระเจ้าซาปีเตอร์มหาราช ทรงมีพระประสงค์ที่จะทำการปฏิรูปรัสเซียให้ก้าวหน้าทัดเทียมกับประเทศต่างๆ ในยุโรป 

แต่พื้นที่เดิมของนครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก เป็นดินเลนที่อ่อนนุ่ม ดังนั้นการสร้างตัวเมืองจึงต้องทำการถมหิน และทราย เป็นจำนวนมหาศาลเพื่อนำพื้นที่มาสร้างตัวเมือง 

นครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก เคยได้รับสมญานามว่า หน้าต่างแห่งยุโรป และยังเคยเป็นเมืองหลวงของจักรวรรดิ์รัสเซีย เป็นเวลาถึง 206 ปี จึงย้ายเมืองหลวงไปมอสโคว์ 

ในช่วงที่รัสเซียมีการเปลี่ยนแปลงเป็น สหภาพโซเวียตรัสเซียนครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ถูกเปลี่ยนชื่อเป็นเมืองเลนินกราด จนเมื่อเกิดการล่มสลายของสหภาพโซเวียตรัสเซีย จึงได้เปลี่ยนกลับมาใช้ชื่อเป็น นครเซนต์ปีเตอร์เบิร์ก ถือว่าเป็นเมืองใหญ่อันดับสองของรัสเซีย

ป้อม ปีเตอร์แอนด์ปอลด์

ป้อมปีเตอร์แอนด์ปอลด์ นับเป็นสิ่งปลูกสร้างสิ่งแรกที่สร้างขึ้นในนครเซนต์ปีเตอร์เบอร์ก ซึ่งประกอบด้วยสิ่งปลูกสร้างที่ถือว่าเป็นสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดของเมืองเลยทีเดียว มีความสูงถึง 122.5 เมตร พระเจ้าปีเตอร์มหาราช ให้สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1703

ป้อมแห่งนี้ความตั้งใจเดิมคือสร้างขึ้นเพื่อใช้ป้องกันการรุกรานจากทหารของสวีเดน แต่พระเจ้าปีเตอร์มหาราชสามารถปราบปรามสวีเดนได้ก่อน ป้อมแห่งนี้จึงกลายเป็นที่มั่นทางทหารและเป็นที่คุมขังนักโทษ

ภายในป้อมมีมหาวิหารสไตล์บารอก ที่ออกแบบโดยสถาปนิกชาวสวิสและอิตาลี มียอดแหลมสูง ปัจจุบันนี้ใช้เป็นพิพิธภัณฑ์ และเป็นที่ฝังพระศพของ พระเจ้าปีเตอร์มหาราช และพระบรมวงศานุวงศ์ของราชวงค์โรมานอฟ

วิหารเซนต์ไอแซค

วิหารเซนต์ไอแซค ถือว่าเป็น อาสนชนวิหารออร์โธดอกซ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นอาสนวิหารคริสต์ที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 4 ของโลก ตั้งชื่อตามนักบุญไอแซค แห่งดัลเมเชีย เป็นนักบุญองค์อุปถัมภ์ของพระเจ้าปีเตอร์มหาราช อยู่ในนครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก

วิหารแห่งนี้ใช้เวลาในการก่อสร้างนานถึง 4 ทศวรรษ ตั้งแต่ปี 1818-1858 โครงสร้างแรกที่สร้างขึ้นจากไม้นั้นพังทลายจากน้ำท่วม ต่อมาโครงสร้างหลักก็โดนไฟไหม้อีก หลังจากนั้นก็ทรุดโทรมอย่างหนัก ต่อมาสถาปนิกชาวฝรั่งเศส โอกุสต์ เดอ มงแฟร์ร็องได้เข้ามารับหน้าที่ต่อ ได้ทำการออกแบบและทำการสร้างต่อจนเป็นวิหารที่เห็นในเวลานี้

โบสถ์แห่งหยดเลือด

ชื่อของโบสถ์นี้ ฟังแล้วน่าหวาดเสียว แต่ถ้าได้มาเห็นจริงจะพบว่า เป็นโบสถ์ที่สวยงามมาก แถมแฝงด้วยประวัติศาสตร์การสร้างโบสถ์นี้ที่น่าสนใจอีกด้วย 

โบสถ์แห่งหยดเลือด ตั้งอยู่ที่ข้างคลอง Griboyedov ที่นครเซนต์ปีเตอร์เบิอร์ก สร้างขึ้นเพื่อเป็นการระลึกถึง พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่ 2 ที่ไม่เชื่อคำทำนายของโหรที่ทักว่าไม่ให้จัดพิธีอภิเษกสมรส ภายใน 3 ปีนี้ 

ดังนั้น เมื่อพระมเหสีของพระองค์เพิ่งสิ้นพระชนม์ไป พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่ 2 ก็ดื้อจัดพิธีอภิเษกสมรสใหม่ทันทีในปี 1881 ซึ่งหลังจากนั้นไม่นาน พระองค์ก็ทรงถูกลอบปลงพระชนม์ด้วยระเบิด 

สาเหตุของการถูกลอบปลงพระชนม์ กล่าวกันว่ามาจากหลายเรื่อง ตั้งแต่การนำประเทศเข้าสู่สงครามไครเมีย แต่พ่ายแพ้กลับมาเรื่องหนึ่ง อีกเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจมากกว่าก็คือ ความคิดที่จะปลดปล่อยทาส ชาวนา และกรรมกรให้เป็นอิสระ เรื่องนี้สำคัญตรงที่ว่า ได้สร้างความไม่พอใจให้กับบรรดาเจ้าขุนมูลนายต่างๆ ก่อให้เกิดการต่อต้านอย่างรุนแรง และอ้างว่าเป็นผู้รักชาติต่อต้านการปฏิรูปของพระเข้าอเล็กซานเดอร์ที่ 2 และทรงถูกลอบปลงพระชนม์หลายครั้งแต่ไม่สำเร็จ

การลอบปลงพระชนม์ พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่ 2 มาประสบความสำเร็จ เมื่อพระองค์เสด็จกลับจากการเยี่ยมกองทหารม้าของพระองค์ กลุ่มกบฏได้ขว้างระเบิดเข้าใส่รถม้าพระที่นั่ง ใกล้กับบริเวณที่ตั้งของโบสถ์นี้ ทำให้พระองค์ได้รับบาดเจ็บสาหัส และสวรรคตในที่สุด

จึงมีการสร้าง โบสถ์แห่งหยดเลือดขึ้นที่บริเวณนี้ จากการบริจาคของประชาชนทั่วประเทศรัสเซีย ใช้เวลาการสร้างยาวนานกว่า 20 ปี เป็นศิลปะแบบรัสเซียดั้งเดิม ประดับประดาด้วยโมเสกเป็นรูปภาพขนาดใหญ่ 

โบสถ์แห่งนี้เคยมีกลุ่มคนในยุคมืดของสหภาพโซเวียตกล่าว  ความงามเป็นเพียงโรงเก็บมันฝรั่ง ภายหลังมีการซ่อมแซมครั้งใหญ่ในช่วงปี 1990-1997 และเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ให้นักท่องเที่ยวเข้าชม

ที่นี่เข้าทางหนึ่ง ซึ่งย้อนแสงในการถ่ายภาพ ออกอีกทางหนึ่งใกล้คลอง สภาพแสงสวยเลย เวลาที่ไปชมเป็นช่วงบ่าย ถ้าไปช่วงเช้าสภาพแสงจะกลับกัน แต่ภายในงามมากน่าถ่ายภาพมากจริงๆ แต่ไม่มีเวลามาปั้นมุมเลยครับ เสียดายอยู่ก็ตรงที่มียอดหนึ่ง กำลังมีการบูรณะอยู่จึงไม่ได้เต็มตามต้องการ 

มหาวิหารคาซาน

มหาวิหารคาซาน ตั้งอยู่บนถนนเนฟสกี้ ซึ่งเป็นถนนสายหลักของ นครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก เป็นหนึ่งในโบสถ์ที่ใหญ่ที่สุดของเมือง สร้างขึ้นในปี 1801-1811 โดยสถาปนิกออกแบบชื่อ A.Voronikhin ในสมัยพระเจ้าปีเตอร์มหาราชในช่วงปี 1708 ที่เดิมเป็นโบสถ์เล็กๆ ภายในมีรูป ไอคอน และพระแม่มาเรีย (Our Lady of Kazan หรือ Kazansksya Icon) ที่วาดขึ้นในศตวรรษที่ 16 ช่วงที่กรุงมอสโคว์เป็นเมืองหลวง พระเจ้าปีเตอร์มหาราช มีพระราชดำรัสให้นำมาไว้ที่นี่ 

ต่อมาในปี 1799 สมัยพระเจ้าปอล ที่ 1 ได้ทำการสร้างใหม่ให้เป็นวิหารที่ใหญ่ขึ้น หลังจากที่พระองค์ได้ประพาสกรุงโรม ของอิตาลี ทรงเกิดความประทับใจ จึงได้นำรูปแบบมาก่อสร้างมหาวิหารหลังใหม่นี้ เสร็จสิ้นในปี 1811 โดยมีสถาปนิกร่วมออกแบบ 3 คนคือ Charles Cameron, Thomas de Thomon และ Pietro Gonzago ในรูปของศิลปแบบ นีโอคลาสสิก มีลักษณะรูปทรงเป็นครึ่งวงกลม มีเสาหินวางเรียงแถวยาวอย่างเป็นระเบียบ

หลังจาก 10 ปี แห่งการก่อสร้าง มหาวิหารคาซาน กลายเป็นสถานที่เพื่อการสักการะบูชาที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงเนื่องจากตั้งอยู่ใจกลางเมือง

ในปี 1812 เกิดสงครามระหว่างรัสเซีย กับ ฝรั่งเศส  Mikhail KutuZov ผู้บังคับบัญชาสูงสุดของรัสเซีย (ซึ่งได้รับการแต่งตั้งขึ้นแทน เจ้าชาย Barclay de Tolly ที่รบแพ้ในสมรภูมิ สโมเลนก์) ได้มาขอพรจากพระแม่มาเรีย ที่วิหารแห่งนี้ และได้รับชัยชนะจากกองทัพนโปเลียน 

จึงได้มีการสร้างรูปปั้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ทหารผู้รักชาติ ที่ด้านหน้าของวิหาร ทั้งปีกด้านซ้ายและด้านขวา มีอนุสาวรีย์บรอนซ์ของนายพล Mikhail Kutuzov และเจ้าชาย Barclay de Tooly ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ตั้งอยู่คนละปีกของวิหาร และศพของนายพล Mikhail Kutuzov ยังได้รับเกียรติให้ฝังไว้อยู่หน้าวิหารนี้

ปัจจุบัน ก็ยังเป็นมหาวิหารที่สวยงาม ด้านหน้ามีสวนสาธารณะสำหรับเป็นที่พักผ่อน และเป็นที่นัดพบปะกันของวัยรุ่นชาวรัสเซีย

หมดหน้ากระดาษแล้วครับ คราวหน้าจะพาท่านทัวร์รัสเซียอีกด้วยเลนส์ตัวเดียว เที่ยวตลอดเลยครับ…