เรื่อง : eyejung, ภาพ : ทีม Camerart + สมาชิก Camerart
บทความนี้มาจาก Camerart Magazine ฉบับ 249/2018 June
เดินทางเข้าสู่ครึ่งปีหลัง กับกิจกรรมอบรมถ่ายภาพที่คงมีมาอย่างต่อเนื่อง รอบนี้เราหมุนวนกลับเข้าสู่โหมดพื้นฐาน เพื่อรากฐานที่แข็งแรง ปูพื้นความรู้ด้านการถ่ายภาพอย่างถูกต้อง คือสิ่งที่ อ.นพ ทำมาต่อเนื่องอย่างยาวนาน ทั้งอบรมฟรี และเสียค่าใช้จ่ายก็เป็นเพียงเล็กน้อย แค่ต้องการเพียงค่าไฟฟ้า เรียกว่าที่ทำมาใจล้วนๆ และปีนี้เป็นปีที่เราครบรอบ 30 ปี เราก็ยังคงสานต่อกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อวงการถ่ายภาพต่อไป
เมื่อเรียนรู้กันแล้ว กิจกรรมที่ทุกคนรอคอย…ทริปฝึกถ่ายภาพ ที่หลายคนต่างนับวันรอ กระแสทริปเรานี้ดีวันดีคืน จน eyejung อยากจัดให้มีทุกๆ เดือนเลย แต่ด้วยภารกิจอื่นๆ ที่มีมากมาย เลยยังคงมี 6 ครั้งต่อปีเหมือนเดิมก่อน สำหรับปีนี้ แต่…ปีหน้าอาจจะมีทุกเดือน เอาใจแฟนคลับ… FC เราชาว CAMERART กันหน่อย 555… ป้ายยากันไว้แต่เนินๆ เลย ส่วนกิจกรรมทริปที่หลายคนเฝ้ารอลงชื่อ กับ One day Trip จังหวัดกาญจนบุรี สีสันแห่งตะวันตก ต้องขอบอกเลยว่า เราร้างรากับการจัดทริปไปเมืองกาญจนบุรีมาหลายปีมาก ครั้งนี้วนกลับมาจัดอีกครั้ง… ต้องบอกเลยกระแสดีเกินคาด เปิดให้ลงชื่อแป๊บเดียว…เต็ม… แบบว่าขอร้องให้รับเพิ่ม แต่ eyejung …ก็ไม่สามารถรับได้ ด้วยหลายอย่างที่เราเตรียมการณ์ให้สมาชิกในครั้งนี้ต้องบอกว่าทริปนี้…มีความพิเศษจริงๆ อยากรู้กันแล้วใช่ไหมล่ะ ไปเที่ยวถ่ายภาพเลยดีกว่า กับกาญนะจ๊ะบุรี… จังหวัดที่มีความครบในแหล่งท่องเที่ยว
นัดหมายกันแต่เช้าเช่นเคยกับจุดจอดรอรับที่สะดวกต่อการเดินทางตรงข้าม MBK ปทุมวัน… สมาชิกต่างรู้งานขึ้นประจำที่นั่งพร้อมออกเดินทางไปรับยังจุดต่อไป…ที่เซ็นทรัลปิ่นเกล้า….หลายท่านมีการร้องขอว่าให้รับระหว่างทางที่ผ่านได้ไหม ต้องขอบอกเลยว่าไม่ได้ เพราะว่ารถเราค่อนข้างใหญ่ และมากันเป็นขบวนหลายคัน เวลารถทำความเร็วมา ต้องมาชลอความเร็วเพื่อแยกเข้าทางออกจากเส้นทางหลัก มันค่อนข้างเสียเวลาในการเดินทาง เราเลยขอว่า…จอดตามจุดที่แจ้งเท่านั้นนะคะ เมื่อเข้าใจตรงกันแล้ว ออกเดินทางไปเปิดประสบการณ์ท่องเที่ยวถ่ายภาพร่วมกัน แต่…กองทัพต้องเดินด้วยท้อง รอบนี้แวะทานอาหารเช้ากันที่จังหวัดราชบุรี ร้านฉางทอง ต้มเลือดหมู อิ่มท้องกันแล้วได้เวลาออกเดินทางไปยังจุดแรกกับ…วัดถ้ำพุหว้า
วัดถ้ำพุหว้า 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ ของจังหวัดกาญจนบุรี ความโดดเด่นวัดถ้ำพุหว้าอยู่ตรงที่ใช้ถ้ำแทนพระอุโบสถ บริเวณทางเข้าถ้ำสร้างเป็นซุ้มประตู ลักษณะเป็นปรางค์ปราสาทศิลาทรายคล้ายศิลปะขอม สร้างด้วยหินทราย ผนังปรางค์ปราสาทประดับด้วยลายปูนปั้น และองค์พระพุทธรูปปางต่างๆ เปรียบเสมือนกับประตูทะลุกาลเวลา เพื่อเดินเข้ามาอีกหนึ่งมิติ ภายในถ้ำจะมีหินงอกหินย้อยสวยงามขนาดใหญ่ แบ่งเป็นหลายห้อง ห้องแรกสุด และใหญ่ที่สุด มีพระประธาน ซึ่งจะมีลานกลางขนาดใหญ่ เพื่อใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาอีกด้วย การถ่ายภาพในถ้ำ สิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้ เลนส์มุมกว้าง เพื่อแสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ภายในถ้ำ และจะเก็บรายละเอียดความสวยงามของภายในถ้ำได้ครบ ก็ต้องเอาขาตั้งกล้องไปด้วย นอกจากถ้ำที่ใช้เป็นพระอุโบสถแล้ว บริเวณภายนอกวัดก็มีพระพุทธรูปขนาดใหญ่ ในปางต่างๆ ให้ได้เก็บภาพกัน ซึ่งต้องบอกว่าทริปนี้เป็นที่น่าเสียดาย เหตุติดอยู่ที่เวลาของแหล่งท่องเที่ยวจุดที่สองที่เราจะเดินทางไปนั้น มีช่วงเวลากำหนดไว้ เราจึงให้เวลาที่ถ้ำพุหว้าไม่ได้เยอะ หลายท่านบ่นเสียด้าย โอกาสหน้าถ้ามีจัดทริปมาที่นี่อีกครั้ง เราจะให้เวลาอย่างเต็มที่ เพื่อเก็บมุมมองความสวยงามได้มากกว่านี้…
ไฮไลท์ในจุดที่สองของทริปครั้งนี้ กับ เส้นทางรถไฟสายมรณะ ถ้ำกระแซ เส้นทางสายประวัติศาสตร์ กับเส้นทางแห่งความทุกข์ทรมาน เจ็บปวดของเชลยศึกฝ่ายสัมพันธมิตร และ กรรมกรที่ถูกเกณฑ์มาสร้างทางรถไฟในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยเริ่มต้นจาก สถานีหนองปลาดุก อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี มุ่งหน้าสู่จังหวัดกาญจนบุรี รวมระยะทางประมาณ 415 กิโลเมตร การสร้างเส้นทางรถไฟนี้ได้คร่าชีวิตเชลยศึกที่ถูกเกณฑ์มาเป็นแรงงานทาสจำนวนมหาศาล ถึงขนาดมีผู้เปรียบเปรย ว่า “หากนับหมอนหนุนรางรถไฟว่ามีจำนวนเท่าไหร่ จำนวนผู้คนและเชลยศึกที่ถูกเกณฑ์เสียชีวิตจากการสร้าง ทางรถไฟสายนี้ก็จะมีจำนวนเท่านั้น” กลายเป็นเส้นทางรถไฟสายมรณะ ที่คร่าชีวิตผู้คนไปมากมาย ทริปนี้เราจะพาสมาชิกทุกท่านมาเยือนถิ่นประวัติศาสตร์ ปลายทางของนักเดินทางทุกคน ผ่านถ้ำกระแซหรือโค้งมรณะที่เลาะเลียบริมหน้าผาซึ่งเผยให้เห็นวิวแม่น้ำแควน้อย ที่ช่างภาพต่างไปเฝ้ารอเพื่อกดชัตเตอร์ รถไฟไต่ข้ามขอบหน้าผา แต่…จะได้ภาพรถไฟ…เราต้องรู้ตารางเวลารถไฟ ที่มาถึงบริเวณถ้ำกระแซ นี่จึงเป็นเหตุที่เราจำกัดเวลาในจุดแรก เพื่อให้มาให้ทันรถไฟเข้ามายังสถานีถ้ำกระแซ ซึ่งในวันปกติ เราจะสามารถถ่ายได้มีอยู่ 2 รอบ คือ รอบ เที่ยงกว่าๆ และรอบหกโมงเย็น แต่ในช่วงวันเสาร์อาทิตย์ จะมีเพิ่มรถไฟนำเที่ยว ก็จะมีรอบ 11.40 น. และรอบกลับ 14.20 น. ใครอยากถ่ายภาพรถไฟ ก็ไปดักรอกันได้ที่ถ้ำกระแซ แม้เราจะเช็คช่วงเวลามาดีแล้ว แต่ก็เกิดเหตุจากความผิดพลาดเรื่องเส้นทาง เลยทำให้เรามาไม่ทันรถไฟรอบ 11.40 นาที มาถึงถ้ำกระแซ นัดหมายกันใหม่ ว่าคงจะได้รอบบ่ายสองโมงครึ่งรอบเดียวแล้วแหละ ช่วงระหว่างรอก็หาอะไรทานกันก่อน eyejung เดินไปเข้าห้องน้ำได้ยินเหมือนแตรรถไฟ ถามเจ้าหน้าที่ที่ดูแลห้องน้ำว่าใช่รถไฟไหม ได้คำตอบว่าแตรรถบัส รถไฟไปแล้ว จะมาอีกที่บ่ายสองโมงครึ่ง คราวนี้ทุกคนเลยชิวๆ หาอะไรทาน เดินช็อปปิ้ง สักพักเห็นรถไฟขับผ่าน…. อ่าว!…..ไหนว่ารถไฟจะมาตอนบ่ายสองโมงครึ่งไง แล้วไหนว่าเสียงบีบแตรรถบัส มีแต่คำถามเกิดขึ้นมากมายในใจ eyejung และที่กังวลที่สุดคือรถไฟหมดแล้ว แล้ว eyejung พาทุกท่านมาเสียเที่ยว จนต้องถามพ่อค้าแม่ค้าแถวนั่นว่า รอบบ่ายสองโมงครึ่งจะมีไหม ได้คำขอว่าเดี๋ยวก็มีมา แล้วไหนว่ารถไฟไปแล้ว ทำไมถึงเพิ่งมาได้คำตอบว่า อันนี้รถไฟนำเที่ยว โธ่เอ๊ย….. เมื่อกี้…ก็โทรถามกับนายสถานีไม่เห็นบอกเราเลย ฮือฮือฮือ…คนเฝ้าห้องน้ำก็บอกว่าแตรรถบัส เฮ้อออ…. เวรกรรมจริงๆ อยากกินข้าวเคล้าน้ำตาเลยตอนนี้
ทานข้าวกันเรียบร้อย เพื่อเป็นการกันพลาด ไปแสตนบายรอรถไฟ เที่ยวล่องกลับกันดีกว่า ซึ่งถ้าอยากได้ภาพหัวขบวนต้องเดินทางถ้ำกระแซไปประมาณ 700 เมตร ฝั่งทางรีสอร์ท งานนี้ต้องพึ่งพาขาตัวเองพาไปแล้วล่ะ และวันนี้ท้องฟ้าก็เป็นใจแดดมาเต็ม โชคดีที่ eyejung บอกให้ทุกคนติดร่มมาด้วย ช่วยได้มากจริงๆ ด้วยความกลัวพลาด พวกเราจึงไปนั่งรวมตัวเบียดกันกันอยู่กลางแดด ทั้งที่อากาศร้อนมากนั่งเบียดกันเหมือนหนาว จริงๆ เหงื่อท่วมตัวกันสุดๆ วิถีชีวิตช่างภาพ การเฝ้ารอ เพื่อให้ได้ภาพคือ สิ่งที่ต้องเจอ เป็นวิถีแห่งการฝึกความอดทน ช่วงระหว่างรอ พี่อั๋น สรรเสริญ นักถ่ายภาพเลนส์มือหมุน ที่ได้ภาพที่มีสไตล์สีคลาสคิค เพื่อนๆ เลยวิ่งผ่านหน้าเลนส์ พี่สรรเสริญ กันใหญ่ เพราะอยากได้ภาพไปเปลี่ยนโปรไฟล์ตัวเอง แบบเก๋ๆ ส่วนอีกคนก็ไม่สนใจวิวเท่าไหร่ ตั้งใจมาถ่ายภาพตัวเองกับวิว เจ้ารส อนุพงษ์ ตีตั๋วเครื่องบินมาจากกระบี่ เพื่อมาเที่ยวกับเราด้วย แถมช่วยงานเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้ ททท.สำนักงานกาญจนบุรีอีกต่างหาก ในที่สุดก็ถึงเวลาที่รถไฟมาสิ้นสุดการรอคอย ให้ได้เก็บภาพไม่ถึง 10 นาที นั่งตากแดดนานจนกลายเป็นหมูแดดเดียวกันหมดแล้ว 555…
จากถ้ำกระแซ จุดต่อไปที่เราต้องเดินทางไปคือ ปากแพรก ที่เป็นชุมชนเก่าแก่ของเมืองกาญจนบุรี แต่ครั้งนี้ด้วยเรื่องเวลา เราจำต้องขออนุญาตตัดชุมชนบ้านปากแพรกออก เพราะจะให้เวลากับวัดถ้ำเสือกันอย่างเต็มที่ จากถ้ำกระแซ เราเดินทางกลับมายัง อำเภอท่าม่วง เพื่อแวะถ่ายภาพวัดดัง ของอำเภอท่าม่วง นั่นคือ วัดถ้ำเสือ นี่เอง
วัดถ้ำเสือ เป็นอีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวที่ห้ามพลาดเลย ถ้าเดินทางมาจังหวัดกาญจนบุรี ความสวยงามสะดุดตา กับองค์พระพุทธรูปปางประทานพร ขนาดใหญ่ที่สุดของจังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งอยู่บนเขา รถเล็กสามารถขับขึ้นไปจอดบนเขาได้เลย ส่วนรถใหญ่อย่างเรา จอดรถลานจอดรถด้านล่าง แล้วสามารถเดินขึ้นจากบันไดนาคสามสายขึ้นเขา จำนวนขั้นบันไดแค่ 158 ขั้น ออกกำลังกายกันเบาๆ ถ้าจะประหยัดพลังงานตัวเอง ด้านซ้ายมือจะมีรถรางไฟฟ้าสำหรับขึ้นไปด้านบน ในราคาเพียง 10 บาท สามารถใช้ทั้งขึ้นและลงได้ แต่ต้องลงก่อน 5 โมงเย็นนะจ้ะ ใครลงมาเกิน 5 โมงเย็น ก็ต้องเดินลงมาเองนะจ้ะ
จุดวัดถ้ำเสือนี่เองที่ทาง ททท.สำนักงานกาญจนบุรี เจ้าของพื้นที่ก็มาให้การต้อนรับ นำทีมโดย คุณสมบัติ ที่จะมาอยู่กับเราจนจบทริป อบอุ่นใจจริงๆ ได้เจ้าบ้านมาดูแล ไม่ต้องกลัวเรื่องหลงทาง มาถึง วัดถ้ำเสือ วัดดังแห่งเมืองกาญจนบุรี ที่ช่างภาพหลายคน บอกว่าเป็นวัดที่มีมุมให้เลือกถ่ายเยอะมาก ใครอยากมาฝึกถ่ายภาพหามุมมอง ต้องมาวัดถ้ำเสือเลย ชื่อเสียงเลื่องลือในความสวยงามของพระรูปองค์ใหญ่ หลวงพ่อชินน์ประทานพร องค์พระสูง 9 วา 9 นิ้ว หน้าตักกว้าง 5 วา 3 ศอก 9 นิ้ว สีทองอร่ามสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2516 และ “พระเจดีย์เกษุแก้วมหาปราสาท” เป็นเจดีย์ทรงแปดเหลี่ยม สีส้ม สูง 69 เมตร กว้าง 29 เมตร สูงใหญ่โดดเด่นอลังการ มีทั้งหมด 9 ชั้น ตรงกลางมีบันไดเวียนสามารถเดินขึ้นไปถึงชั้นบนสุด แต่ต้องมาก่อน 4 โมงเย็นนะคะ ไม่งั้นประตูจะปิด แต่ครั้งนี้มากับ CAMERART คุณตาลจัดให้ 555… ไม่ใช่ eyejung จัดให้นะคะ eyejung ก็ตามๆ เขาไปเหมือนกัน นี่คืออีกหนึ่งความพิเศษของทริป CAMERART ครั้งนี้ความโชคดีของเราคือ คุณตาล ช่วยไปขอกุญแจจากทางวัด เพื่อให้สมาชิกได้เดินขึ้นไปถ่ายภาพด้านบน แถมคุณตาลยังเป็นแม่พระ ให้แบตเตอรี่ เจ้ายุทธ ยืม เตรียมทุกอย่างพร้อม แต่ดันลืมชาร์ตแบตเตอร์รี่ นี่คือความน่ารักของทริป CAMERART ที่มีแต่ความแบ่งปัน
ทำการรวมกลุ่มกันพร้อม เราก็พร้อมเดินขึ้น พระเจดีย์เกษุแก้วมหาปราสาท เพราะเงื่อนไขต้องขึ้นพร้อมกัน เพื่อเดินขึ้นไปด้านบนสำหรับเก็บภาพมุมสูงสุด ที่ตอนนี้โอบล้อมไปด้วยทุ่งนาเขียวขจี มองเห็นเก๋งจีน 7 ชั้น วัดถ้ำเขาน้อย วัดจีนที่ติดกับวัดถ้ำเสือ เราสามารถเที่ยวได้ทั้งสองวัดในที่เดียว เดินขึ้นไปยังพระเจดีย์เกศแก้วมหาปราสาท วัดถ้ำเสือ มีทั้งหมด 9 ชั้น ความสูง 59 เมตร มีบันไดเวียนสำหรับขึ้นไปนมัสการพระบรมสารีริกธาตุ ที่ประดิษฐานอยู่ที่ชั้นบนสุดของพระเจดีย์ ซึ่งสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก พระองค์ก่อน เสด็จมาบรรจุพระบรมสารีริกธาตุที่ได้อัญเชิญมาจากประเทศอินเดีย ไว้ในปราสาทจุฬามณีบรมสารีริกธาตุ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2533 เดินขึ้นไปด้านบนสุดของ พระเจดีย์เกษุแก้วมหาปราสาท สามารถเก็บภาพมุมสูง ที่เป็นมุมไฮไลท์ของวัดถ้ำเสือ ครั้งนี้เรามากันช่วงเย็นมาก เมื่อสมาชิกขึ้นกันครบเราก็ทำการล็อคประตูทางขึ้น เพื่อป้องกันนักท่องเที่ยวท่านอื่นๆ ตามไปสมทบ ส่วนสมาชิกท่านที่ไม่ได้ขึ้นพร้อมชุดแรกเราก็ขอไม่เปิดประตูขึ้นให้เหมือนกัน ส่วนคนที่อยู่ข้างบน จะลงด้านล่างก็ต้องรอ eyejung นี่กะว่าจะขังทุกท่านไว้ด้านบนเก็บค่าผ่านทางสักหน่อย 555.. ความคิดในการหารายได้ก็บรรเจิดขึ้นมาทันที่ อิอิ…
จากวัดถ้ำเสือวันนี้เรามีสลับโปรแกรมขึ้นมาใหม่ กับรักษ์คันนา ร้านกาแฟและร้านก๋วยเตี๋ยว ที่มีวิวของทุ่งนาสีเขียวกว้างไกลรายล้อม มีสะพานทอดยาวกลางทุ่ง มองเห็นวิวของวัดถ้ำเขาน้อยและวัดถ้ำเสืออยู่เบื้องหน้า ในช่วงเวลาเย็นจะสามารถนั่งชมพระอาทิตย์ในวิวท้องทุ่งนา เหมาะกับมานั่งชิวๆ ยามเย็น เป็นแหล่งเช็คอินแหล่งใหม่ของจังหวัดเมืองกาญฯ ที่เพิ่งเปิดตัวเมื่อช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา แต่รถบัสไม่สามารถเข้าถึงได้ต้องจอดรถไว้ที่ พระถ้ำเขาน้อย แล้วเดินเลาะกำแพงวัดมา เพียง 300 เมตร ก็จะเจอร้านรักษ์คันนา สุดเก๋ ตั้งอยู่กลางท้องทุ่งนา แถมเจ้าของร้านใจดีมาก ให้เดินถ่ายภาพกับตามสบาย แม้จะไม่สั่งของในร้านทานก็ตาม ส่วน eyejung พี่น้อง คุณตาล พี่เอ๊ะ และพี่พี ได้มุมนั่งชมวิว ก็นั่งปักหลักไม่อยากลุกไปไหน เลยได้แต่ภาพ Portrait ตัวเองนั่งดื่มน้ำเย็นๆ กับวิวท้องทุ่งนาเขียวขจี ทำให้ผ่อนคลายจนลืมทำงานไปเลย ฮ่าฮ่าฮ่า
เมื่อแสงเย็นไม่ได้เป็นไปอย่างที่หวัง ได้เวลาไปร่วมรับประทานอาหารเย็นกันที่ The Hatchery Resorts รีสอร์ท ท่ามกลางธรรมชาติ ที่มีร้านอาหาร ร้านกาแฟ ภายในบริเวณบ้านรังนกหลังใหญ่ ที่ทาง ททท.สำนักงานกาญจนบุรี เป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารเย็น กับหลากหลายเมนู และอาหารปลาพื้นเมืองของดีเมืองกาญฯ นอกจากทริปนี้จะมีผู้ใหญ่ใจดีอย่าง ททท. เลี้ยงอาหารพวกเราแล้ว ทริปนี้สุดพิเศษ กับ LALAPIX ที่มาแจก Photo Book ขนาด 6×6 นิ้ว มูลค่าเล่มละ 495 บาท ให้กับผู้ร่วมทริปทุกท่าน ที่ได้เดินทางมากับเราในครั้งนี้ เป็นอีกหนึ่งสิ่งดีๆ ที่เราจัดให้สมาชิก หวังว่า CAMERART จะเป็นหนึ่งในใจหลายๆ คน เมื่อนึกถึงทริปถ่ายภาพ ต้องนึกถึง CAMERART ครั้งหน้าเราจะพาไปถ่ายพลุนานาชาติเมืองพัทยา ที่ปีนี้หลายคนงงว่าทำไมถึงจัดหน้าฝน อยากรู้ว่าจะได้พลุหรือได้เปียก ต้องติดตามครั้งหน้า Bye…eyejung